7Ps Marketing คือกลยุทธ์เด็ด ช่วยพิชิตใจลูกค้าอย่างอยู่หมัด
“7Ps Marketing คืออะไร” คงเป็นคำถามที่อยู่ในใจของใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้อยู่ในสายงานการตลาดออนไลน์ บางคนอาจจะรู้จักมักคุ้นเพียง 4Ps Marketing เท่านั้น ทำให้ข้องใจเล็กน้อยว่ามันมีความแตกต่างจาก 7Ps Marketing อย่างไร? หากถามว่า 7Ps Marketing มีความสำคัญในต่อการทำธุรกิจหรือไม่ บอกได้เลยว่าสำคัญมาก ยิ่งในยุคที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ ทุกธุรกิจควรทำความเข้าใจและนำไปปรับใช้กับการทำการตลาดออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง และไม่ว่าคุณจะมีข้อสงสัยอะไรในเรื่องนี้ก็ตาม ADCHARIYA จะพาคุณไปไขคำตอบในเรื่องนี้ให้รู้กันแบบชัด ๆ !
7Ps Marketing คืออะไร
7Ps Marketing คือแนวคิดในการทำกลยุทธ์ทางการตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยจะประกอบไปด้วย 7 ปัจจัยด้วยกัน บางคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า 7Ps Marketing Mix มากกว่าก็เป็นได้ ซึ่ง 7Ps Marketing ยังจัดเป็นส่วนผสมทางการตลาด (Marketing Mix) รูปแบบหนึ่งด้วย
เดิมทีส่วนผสมทางการตลาดจะมีอยู่รูปแบบเดียวคือ 4Ps Marketing ที่ประกอบไปด้วย Product, Price, Place และ Promotion อันเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการตลาดที่มุ่งเน้นไปที่สินค้าเป็นหลัก โดย 4Ps Marketing เป็นแนวคิดที่ถูกคิดค้นโดย E. Jerome McCarthy (ศาสตราจารย์ด้านการตลาด) และมีการใช้งานกันมาตั้งแต่ปี 1960 แล้ว

ต่อมายุคสมัยได้เปลี่ยนไป อินเทอร์เน็ตที่เคยเป็นสิ่งใหม่ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคคุ้นชินและใช้งานกันอย่างแพร่หลาย จึงทำให้การตลาดแบบ 4Ps ไม่เพียงพอและไม่สามารถเอาชนะใจผู้บริโภคได้อีกต่อไป จึงมีการพัฒนาจาก 4Ps เป็น 7Ps Marketing ในภายหลัง เพื่อให้เหมาะกับการทำการตลาดบนโลกออนไลน์มากขึ้นอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้นั่นเอง

7Ps Marketing ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
7Ps Marketing ประกอบไปด้วย Product (สินค้า/ผลิตภัณฑ์), Price (ราคา), Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย), Promotion (การส่งเสริมการขาย) ที่มาจาก 4Ps Marketing และประกอบไปด้วยปัจจัยใหม่อีก 3 ปัจจัยคือ People (คน), Process (ขั้นตอนการทำงาน) และ Physical Evidence (สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ) เรียกได้ว่าครอบคลุมตั้งแต่สินค้า ขั้นตอนการทำงาน ไปจนถึงประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเลยทีเดียว และแต่ละปัจจัยจะหมายถึงอะไร ควรนำไปปรับใช้อย่างไร สามารถไปติดตามอ่านกันต่อได้เลย

1. Product (สินค้า/ผลิตภัณฑ์)
Product คือ สินค้า ผลิตภัณฑ์ การบริการ และยังรวมไปถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้บริโภครับรู้ว่านี่คือแบรนด์ของคุณอีกด้วย สำหรับสิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงในปัจจัยนี้ จะมีทั้งคุณภาพของสินค้า, เกรดของวัสดุที่นำมาใช้งาน, วิธีการใช้งาน, ชื่อสินค้า, ดีไซน์และภาพลักษณ์ของสินค้า, รูปแบบการให้บริการ, ขั้นตอนการให้บริการ, โลโก้,ช่วงเวลาที่ควรใช้งาน, จุดเด่น, ประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับ และงานบริการลูกค้า เป็นต้น เพื่อให้สินค้าและบริการของคุณสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุด
2. Price (ราคา)
Price เป็นกลยุทธ์ในการกำหนดราคาสินค้า โดยราคาที่กำหนดจะต้องสมเหตุสมผล เหมาะกับคุณภาพของสินค้า และสามารถสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้ เมื่อคุณกำหนดราคาได้เหมาะสม ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าสินค้าของคุณคุ้มค่ากับราคาที่เสียไป แนวโน้มที่ผู้บริโภคจะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำจึงสูงขึ้น
ในทางกลับกันหากราคาของสินค้าสวนทางกับประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับล่ะก็ นอกจากผู้บริโภคคนดังกล่าวจะไม่กลับมาซื้อสินค้าซ้ำแล้ว ยังมีโอกาสที่พวกเขาจะรีวิวบอกต่อในแง่ลบอีกด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และยอดขายของแบรนด์ในอนาคตอย่างแน่นอน
3. Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย)
มีสินค้าและราคาแล้ว แต่ไม่มีช่องทางการจำหน่ายให้สินค้าได้ไปอยู่ในสายตาของผู้บริโภค ก็ไม่ต่างอะไรกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เสียทั้งเงินทุน เสียทั้งแรง และเสียทั้งเวลา ดังนั้น คุณจะต้องเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าให้ดีและช่องทางดังกล่าวจะต้องเป็นช่องทางที่มีกลุ่มเป้าหมายของคุณอยู่ด้วย หลัก ๆ แล้วช่องทางการจัดจำหน่ายจะแบ่งเป็นออนไลน์และออฟไลน์ หากเป็นไปได้แนะนำให้จำหน่ายสินค้าบนทั้งสองช่องทางจะเป็นการดีที่สุด แต่ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและบริการด้วย
ตัวอย่างช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออนไลน์
- เว็บไซต์ขายของออนไลน์ (e-Commerce)
- Marketplace เช่น Shopee, Lazada, TikTok Shop, LINE MyShop ฯลฯ
ตัวอย่างช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออฟไลน์
- หน้าร้านของแบรนด์
- การจัดบูทออกงานอีเวนต์ต่าง ๆ
- การฝากขายสินค้าบนห้างร้านต่าง ๆ
4. Promotion (การส่งเสริมการขาย)
Promotion ในความหมายของคนส่วนใหญ่อาจจะเป็นการหั่นราคา ลดแลกแจกแถม แต่ในแง่ของ 7Ps Marketing คำว่าโปรโมชันหมายถึงกลยุทธ์ในการส่งเสริมการขาย หรือกลยุทธ์ในการกระตุ้นยอดขายให้สูงขึ้นกว่าเดิม เช่น การโปรโมตสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นสินค้าบ่อย ๆ และรู้สึกอยากซื้อ, การนำเสนอสินค้าราคาพิเศษ โดยกำหนดระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างรวดเร็ว หรือการสะสมแต้ม สะสมคูปอง เพื่อใช้แลกส่วนลดหรือขอสมนาคุณในภายหลัง เป็นต้น
5. People (คน)
เรื่องของคนก็สำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ขั้นตอนไหน ย่อมมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เริ่มตั้งแต่ฝ่ายหลังบ้าน ฝ่ายหน้าบ้าน และฝ่ายบริการลูกค้าเลย ซึ่ง “คน” ในที่นี้ หมายถึงพนักงานและบุคลากรทุกคนในองค์กร ซึ่งทุกคนจะต้องมองไปยังเป้าหมายเดียวกัน จึงจะทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ดี
โดยพนักงานที่มีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากที่สุดอย่างฝ่ายขายและฝ่ายบริการลูกค้า ควรผ่านการเทรนเรื่องการบริการ การใช้คำพูด แนวทางการตอบคำถาม วิธีนำเสนอสินค้า ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดกลับไป เพราะถ้าบุคคลเหล่านี้ปฏิบัติต่อลูกค้าไม่ดี ลูกค้าอาจจะบอกต่อในแง่ลบและคอมเพลนในที่แจ้ง จนทำให้บริษัทของคุณเสื่อมเสียชื่อเสียงก็เป็นได้ และชื่อเสียงก็เป็นสิ่งที่สร้างได้ยาก จะต้องอาศัยทั้งเวลาและความเชื่อใจ แต่ก็สามารถถูกทำลายไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน จึงไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเลย
6. Process (กระบวนการทำงาน)
Process คือกระบวนการที่ใช้ในการทำงานเพื่อให้ตัวสินค้าและบริการของบริษัทได้เข้าถึงลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ หรือนับตั้งแต่กระบวนการพัฒนาสินค้า การผลิตสินค้า การวางแผนการตลาด การโปรโมตแคมเปญโฆษณา การให้บริการลูกค้า ไปจนถึงการรับฟีดแบ็กกับลูกค้าเลย ทุกกระบวนการจะต้องมีประสิทธิภาพและสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าได้ องค์กรควรจะทำอย่างไรให้กระบวนการดังกล่าวทำงานมีประสิทธิภาพ? ลองมาดูวิธีเหล่านี้และนำไปไปปรับใช้ได้เลย
- ศึกษาและวิเคราะห์ธุรกิจตัวเอง คู่แข่ง และกลุ่มเป้าหมายให้ละเอียด
- ให้ความสำคัญกับ Customer’s Journey และวางกลยุทธ์ให้เหมาะสม
- มีระบบ Customer Service สำหรับให้บริการและดูแลลูกค้าในทุก ๆ ช่องทาง
- การทำ Research เพื่อเก็บข้อมูลและนำมาพัฒนาสินค้าหรือบริการ
- สร้างมาตรฐานในการให้บริการลูกค้าทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
- เลือกโรงงานผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานและผ่านการรับรองว่าปลอดภัย
7. Physical Evidence (สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ)
Physical Evidence หรือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพในที่นี้ หมายถึงทุกองค์ประกอบที่ลูกค้าได้สัมผัสและพบเจอเกี่ยวกับสินค้า บริการ และธุรกิจของคุณ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้ลูกค้าจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Customer Loyalty) และกลับมาซื้อสินค้าซ้ำอย่างต่อเนื่อง (Retention) ด้วยเหตุนี้ นอกจากสินค้าจะมีคุณภาพเหมาะสมกับราคา และมีการบริการลูกค้าเป็นอย่างดีแล้ว ฝั่งของการตลาดหรือ Digital Marketing จะต้องทำทุกอย่างให้ออกมาดีและมีความน่าเชื่อถือด้วย อาทิ
- การตอบคำถาม ตอบแชท หรือตอบกลับลูกค้าอย่างรวดเร็ว
- มีช่องทางให้ลูกค้าติดต่อกับแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น LINE OA หรือ Facebook Messenger
- ใส่ใจเรื่อง UX/UI บนเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์สวยงามและใช้งานง่าย
- มีระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัยและเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน
- โปรโมตสินค้าตามคุณสมบัติจริง ไม่โอ้อวดหรือ Overclaim จนเกินจริง
ประโยชน์ของ 7Ps Marketing
- เพิ่มส่วนแบ่งทางตลาดในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- สร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้างและช่วยขยายฐานลูกค้า
- สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
- สินค้ามีคุณภาพ บริการได้อย่างยอดเยี่ยม = ลูกค้าหลงรักและภักดีต่อแบรนด์
- ทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่าที่เลือกสินค้าหรือบริการจากเรา
- เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงตัวสินค้าและบริการให้แก่ผู้บริโภค
- สร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้บริโภคในทุก ๆ ช่องทางและทุกกระบวนการ
- กระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้า ผ่านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพต่าง ๆ
สรุปเรื่อง 7Ps Marketing
จากข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ เราจะพบว่า 7Ps Marketing คือกลยุทธ์ที่ใช้สำหรับการ “ครองใจลูกค้า” อย่างแท้จริง โดยปัจจัยทั้ง 7 ต่างมุ่งเน้นไปที่การทำให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมกลับไป นอกจากนี้ ทางองค์กรเองยังได้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมีกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพด้วย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อธุรกิจอย่างแน่นอน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือ ภาพลักษณ์ที่ดี ฐานลูกค้าใหม่ และยอดขายนั่นเอง

Leave a Reply