คุณเคยรู้สึกสับสนและท้อแท้กับการลงทุนโฆษณาออนไลน์ที่ไม่ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังไหมครับ? ผม เข้าใจดีว่าความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร เพราะผมเองก็เคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อน การเลือกแพลตฟอร์มโฆษณาที่ไม่เหมาะสมกับธุรกิจ การตั้งค่าแคมเปญที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย หรือการใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ล้วนเป็นปัญหาที่ทำให้หลายธุรกิจต้องสูญเสียเงินและโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
จากประสบการณ์กว่า 5 ปีในวงการดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ผม ชาลี แอดฉริยะ ได้เห็นทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวของแบรนด์มากมาย และสิ่งที่ผมพบคือ การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Facebook Ads และ Google Ads อย่างลึกซึ้งเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์
ลองนึกภาพว่าคุณสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 300% ภายในเวลาเพียง 3 เดือน หรือลดต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้าลงได้ถึง 50% นั่นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันครับ แต่เป็นผลลัพธ์จริงที่ผมเคยทำให้กับลูกค้าหลายราย ด้วยการเลือกใช้และปรับแต่งแคมเปญบน Facebook Ads และ Google Ads อย่างชาญฉลาด
ในบทความนี้ ADCHARIYA เอเจนซี่การตลาดออนไลน์ จะแบ่งปันประสบการณ์และเทคนิคเชิงลึกที่จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Facebook Ads และ Google Ads อย่างถ่องแท้ พร้อมทั้งวิธีการเลือกใช้และผสมผสานทั้งสองแพลตฟอร์มให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับธุรกิจของคุณ
มาเริ่มกันเลยครับ
เปรียบเทียบความแตกต่าง Facebook Ads vs Google Ads
| ปัจจัย | Facebook Ads | Google Ads |
| วิธีการ Targeting | – ตามข้อมูลประชากรศาสตร์- ความสนใจ – พฤติกรรมการใช้งาน | – ตาม Keywords – Intent ของผู้ใช้ |
| รูปแบบโฆษณา | หลากหลายและยืดหยุ่น ทั้ง รูปภาพ, วิดีโอ, คาโรเซล, Stories | หลากหลายและยืดหยุ่น ทั้งข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ (บน YouTube) |
| การสร้าง Brand Awareness | เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้ผ่าน Facebook | เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้ผ่านช่องทางต่างๆ ของ Google |
| การสร้างยอดขาย | เหมาะกับสินค้าที่ตัดสินใจซื้อแบบฉับพลัน | เหมาะกับสินค้าที่ผู้บริโภคกำลังค้นหาข้อมูล |
| ต้นทุนและ ROI | – CPM ต่ำกว่า – Conversion Rate อาจต่ำกว่า | – CPC สูงกว่า – Conversion Rate สูงกว่าสำหรับผู้ที่มี Intent ชัดเจน |
| การวัดผลและรายงาน | ละเอียดสำหรับการมีส่วนร่วมและพฤติกรรมผู้ใช้ | แม่นยำสำหรับ Conversions และ ROI |
| ความเหมาะสมกับธุรกิจ | – B2C ทั่วไป – สินค้าที่ต้องการการนำเสนอภาพ/วิดีโอ | – B2B – สินค้า/บริการที่ต้องการข้อมูลก่อนตัดสินใจ |
เจาะลึก Facebook Ads

โฆษณา Facebook Ads เครื่องมือทรงพลังสำหรับการสร้างแบรนด์และการมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram Ads โดยผมมักจะเปรียบ Facebook Ads เหมือนกับการจัดปาร์ตี้ใหญ่ที่มีแขกนับพันล้านคน คุณมีโอกาสได้พูดคุยและสร้างความประทับใจกับผู้คนมากมาย แต่คุณต้องรู้วิธีที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเขาในท่ามกลางเสียงอึกทึกและกิจกรรมมากมายที่กำลังเกิดขึ้น
ลักษณะเด่นของ Facebook Ads
- การเข้าถึงผู้ใช้บน Social Media Platform อย่างกว้างขวาง: Facebook มีผู้ใช้งานมากกว่า 2.9 พันล้านคนทั่วโลก นั่นหมายความว่าไม่ว่าธุรกิจของคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหน คุณมีโอกาสที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณได้อย่างแน่นอน
- ความสามารถในการ Targeting ที่ละเอียด: จากประสบการณ์ของผม นี่คือจุดแข็งที่สุดของ Facebook Ads คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียดยิบ ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ ความสนใจ พฤติกรรมการใช้งาน หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น คนที่เพิ่งแต่งงาน หรือย้ายบ้าน
- รูปแบบโฆษณาที่หลากหลายและน่าสนใจ: Facebook ให้อิสระในการสร้างสรรค์โฆษณาที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วิดีโอ คาโรเซล หรือแม้กระทั่ง Stories ซึ่งช่วยให้คุณสามารถนำเสนอแบรนด์และผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของโฆษณาบน Facebook
- Image Ads: โฆษณารูปภาพที่ดึงดูดสายตา เหมาะสำหรับการสร้าง Brand Awareness อย่างรวดเร็ว ผมมักแนะนำให้ใช้ภาพที่มีสีสันสดใส และมีข้อความที่กระชับ ชัดเจน
- Video Ads: โฆษณาวิดีโอที่สร้างการมีส่วนร่วมสูง จากประสบการณ์ของผม วิดีโอสั้น 15-30 วินาทีมักจะได้ผลดีที่สุด โดยเฉพาะถ้าคุณสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ภายใน 3 วินาทีแรก
- Carousel Ads: โฆษณาแบบหลายภาพหรือวิดีโอในโพสต์เดียว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ e-commerce ที่ต้องการแสดงสินค้าหลายชิ้นในโฆษณาเดียว
- Collection Ads: โฆษณาที่แสดงสินค้าหลายชิ้นพร้อมกัน เมื่อผู้ใช้คลิกจะเปิดไปยังหน้า Instant Experience ที่โหลดเร็วและออกแบบมาเพื่อการขายโดยเฉพาะ
- Instant Experience Ads: โฆษณาเต็มหน้าจอที่โหลดเร็ว เหมาะสำหรับการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับผู้ใช้ ผมมักใช้รูปแบบนี้สำหรับแคมเปญที่ต้องการเล่าเรื่องราวของแบรนด์อย่างลึกซึ้ง
ข้อดีของการใช้ Facebook Ads
- การสร้าง Brand Awareness ที่มีประสิทธิภาพสูง: Facebook Ads เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการสร้างการรับรู้แบรนด์ ด้วยการเข้าถึงที่กว้างและความสามารถในการ Targeting ที่แม่นยำ คุณสามารถแนะนำแบรนด์ของคุณให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ความสามารถในการ Re-targeting: หนึ่งในกลยุทธ์ที่ผมชอบใช้มากที่สุดคือการ Re-targeting ซึ่ง Facebook ทำได้ดีเยี่ยม คุณสามารถโฆษณาซ้ำกับคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์หรือเพจของคุณ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการ Convert อย่างมาก
- ต้นทุนต่อการเข้าถึง (CPM) ที่ค่อนข้างต่ำ: เมื่อเทียบกับสื่อดั้งเดิม Facebook Ads มักจะมีต้นทุนต่อการเข้าถึงที่ต่ำกว่า ทำให้คุณสามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้ด้วยงบประมาณที่จำกัด
- การสร้างการมีส่วนร่วมและการสื่อสารกับลูกค้าแบบสองทาง: Facebook เปิดโอกาสให้แบรนด์สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด ผ่านการคอมเมนต์ แชร์ และการตอบกลับ ซึ่งช่วยสร้างความผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาว
ข้อจำกัดของ Facebook Ads
- การแข่งขันที่สูงในบางอุตสาหกรรม: ในบางอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ต้นทุนการโฆษณาอาจพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ผมเคยเห็นบางกรณีที่ CPC (Cost Per Click) สูงถึง 5-10 เหรียญสหรัฐ ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าสำหรับบางธุรกิจ
- ความท้าทายในการวัดผล ROI: สำหรับบางธุรกิจ โดยเฉพาะ B2B หรือธุรกิจที่มีวงจรการขายยาว การวัดผล ROI จาก Facebook Ads อาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากการ Convert มักไม่เกิดขึ้นทันที
- Ad Fatigue: ผู้ใช้ Facebook อาจเกิดความเบื่อหน่ายกับโฆษณาได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าพวกเขาเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการปรับเปลี่ยนครีเอทีฟอย่างสม่ำเสมอจึงมีความสำคัญมาก
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัว: การเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการ Targeting ในอนาคต เราเห็นผลกระทบนี้ชัดเจนหลังจากการอัปเดต iOS 14.5 ซึ่งทำให้การติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ทำได้ยากขึ้น
เจาะลึก Google Ads

โฆษณา Google Ads เป็นแพลตฟอร์มทรงพลังสำหรับการเข้าถึงลูกค้าที่มี Intent สูง ถ้า Facebook Ads เปรียบเสมือนการจัดปาร์ตี้ใหญ่ Google Ads ก็เหมือนกับการเปิดร้านค้าในห้างสรรพสินค้าที่มีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา และกำลังมองหาสิ่งที่พวกเขาต้องการอยู่พอดี ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในช่วงเวลาที่พวกเขามีความตั้งใจซื้อสูงสุด
ลักษณะเด่นของ Google Ads
- การเข้าถึงผู้ใช้ที่มี Intent สูง: ผู้ใช้ที่ค้นหาบน Google มักมีความตั้งใจซื้อหรือสนใจในผลิตภัณฑ์/บริการอยู่แล้ว ทำให้โอกาสในการ Convert สูงกว่า platform อื่นๆ ผมเคยเห็นอัตราการ Convert สูงถึง 10-15% สำหรับ keywords ที่มี intent สูงมาก
- ความหลากหลายของ Network: Google Ads ไม่ได้จำกัดอยู่แค่หน้าผลการค้นหา แต่ยังรวมถึง Display Network, YouTube, และ Shopping ด้วย ทำให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายรูปแบบ
- ความสามารถในการ Track Conversions ที่แม่นยำ: Google Analytics 4 และ Google Ads มีการเชื่อมต่อกันอย่างลงตัว ทำให้คุณสามารถติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญได้อย่างละเอียด ผมมักใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการปรับแต่งแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
- การ Target ตาม Keywords ที่เฉพาะเจาะจง: คุณสามารถเลือก keywords ที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ทำให้โฆษณาของคุณปรากฏต่อหน้าคนที่กำลังมองหาสิ่งที่คุณนำเสนอพอดี
ประเภทของโฆษณาบน Google Ads
- Search Ads (การทำ SEM): โฆษณาข้อความที่ปรากฏในผลการค้นหา นี่คือรูปแบบที่ใช้กันมากที่สุดและมักให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ เทคนิคสำคัญคือการเลือก keywords ที่เกี่ยวข้องและการเขียน ad copy ที่โดนใจ
- Display Campaign (GDN) : โฆษณารูปภาพบนเว็บไซต์พาร์ทเนอร์ของ Google เหมาะสำหรับการสร้าง brand awareness และ remarketing ผมมักใช้ Display Ads ควบคู่กับ Search Ads เพื่อเพิ่ม touchpoints กับกลุ่มเป้าหมาย
- Video Ads Campaign : โฆษณาวิดีโอบน YouTube และเว็บไซต์พาร์ทเนอร์ เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้าง engagement และ brand recall โดยเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการการอธิบายหรือสาธิต
- Shopping Ads (Performance Max) : โฆษณาสินค้าพร้อมราคาและรูปภาพ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ e-commerce ผมเคยเห็น ROAS (Return on Ad Spend) สูงถึง 800% สำหรับ Shopping Ads ที่ตั้งค่าอย่างเหมาะสม
- App Campaign : โฆษณาสำหรับการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Google จะใช้ AI เพื่อปรับแต่งและแสดงโฆษณาในรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติ
ข้อดีของการใช้ Google Ads
- โอกาสในการเข้าถึงลูกค้าที่มี Purchase Intent สูง: นี่คือจุดแข็งที่สุดของ Google Ads คนที่ค้นหาบน Google มักมีความตั้งใจซื้อสูงอยู่แล้ว ทำให้โอกาสในการ Convert มีสูงมาก
- ความสามารถในการ Target ตาม Keywords ที่เฉพาะเจาะจง: คุณสามารถเลือกโฆษณาให้ปรากฏเฉพาะเมื่อมีคนค้นหาด้วย keywords ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ทำให้ประหยัดงบประมาณและเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ
- การวัดผล ROI ที่ชัดเจนและแม่นยำ: Google Ads มีเครื่องมือวัดผลที่ละเอียดและแม่นยำ ทำให้คุณสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าทุกบาทที่ลงทุนไปนั้นให้ผลตอบแทนเท่าไร
- ความยืดหยุ่นในการปรับแต่งแคมเปญ: คุณสามารถปรับเปลี่ยนแคมเปญได้อย่างรวดเร็วตามผลลัพธ์ที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการปรับ bid, เปลี่ยน keywords หรือแก้ไข ad copy
ข้อจำกัดของ Google Ads
- ต้นทุนต่อคลิก (CPC) ที่อาจสูงในบางอุตสาหกรรม: ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง เช่น ประกันภัยหรือกฎหมาย CPC อาจสูงถึงหลักพันบาทต่อคลิก ทำให้ต้องมีการวางแผนงบประมาณอย่างรอบคอบ
- การแข่งขันที่รุนแรงสำหรับ Keywords ยอดนิยม: Keywords ที่มีปริมาณการค้นหาสูงมักมีการแข่งขันสูงตามไปด้วย ทำให้ต้องมีกลยุทธ์ในการเลือก keywords ที่สมดุลระหว่างปริมาณการค้นหาและการแข่งขัน
- ความซับซ้อนในการตั้งค่าและบริหารจัดการแคมเปญ: Google Ads มีตัวเลือกและการตั้งค่าที่ซับซ้อน ซึ่งอาจทำให้ผู้เริ่มต้นรู้สึกท้อได้ การเรียนรู้และทำความเข้าใจกับระบบอย่างลึกซึ้งต้องใช้เวลาและความพยายาม
- ข้อจำกัดด้านความคิดสร้างสรรค์: เมื่อเทียบกับ Facebook Ads, Google Ads (โดยเฉพาะ Search Ads) มีข้อจำกัดด้านความคิดสร้างสรรค์มากกว่า เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดสำหรับข้อความและไม่สามารถใช้รูปภาพในโฆษณาได้
การเลือกใช้ Facebook Ads และ Google Ads ให้เหมาะกับธุรกิจ
การเลือกใช้แพลตฟอร์มโฆษณาที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการทำการตลาดดิจิทัล จากประสบการณ์ของผม ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่มีหลักการสำคัญที่คุณควรพิจารณา
พิจารณาตามวัตถุประสงค์ทางการตลาด
- สร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
- Facebook Ads: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ด้วยความสามารถในการ Targeting ที่ละเอียดและรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย คุณสามารถสร้าง Content ที่น่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
- Google Ads: ใช้ Display Network และ YouTube Ads เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ผ่านเว็บไซต์พาร์ทเนอร์และวิดีโอ
- ผมมักแนะนำให้เริ่มต้นด้วย Facebook Ads สำหรับแคมเปญสร้างการรับรู้แบรนด์ แล้วค่อยเสริมด้วย Google Display Network เพื่อเพิ่ม Touchpoints
- สร้างยอดขาย (Direct Response)
- Facebook Ads: เหมาะสำหรับสินค้าที่ต้องการการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลัน หรือสินค้าที่ต้องการการนำเสนอภาพและวิดีโอ เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง
- Google Ads: เหมาะสำหรับสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคกำลังค้นหาและมีความตั้งใจซื้อสูง เช่น บริการทางกฎหมาย ประกันภัย หรือสินค้าเทคโนโลยี
- สำหรับสินค้าที่มีราคาไม่สูงมากและตัดสินใจซื้อได้ง่าย ผมมักเริ่มต้นด้วย Facebook Ads แล้วใช้ Google Ads เป็นตัวเสริม แต่สำหรับสินค้าหรือบริการที่มีราคาสูงและต้องการข้อมูลมากก่อนตัดสินใจ ผมจะให้น้ำหนักกับ Google Ads มากกว่า
- สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement)
- Facebook Ads: มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างการมีส่วนร่วม เช่น การแชร์ การคอมเมนต์ และการกดไลค์ เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างชุมชนออนไลน์
- Google Ads: เน้นการสร้าง Engagement ผ่านการคลิกเข้าชมเว็บไซต์และการทำ Conversion มากกว่าการมีส่วนร่วมในรูปแบบ Social Media
- สำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ผมแนะนำให้ใช้ Facebook Ads เป็นหลัก และใช้ Google Ads เพื่อรักษาการมองเห็นแบรนด์ในช่วงที่ลูกค้ากำลังค้นหาข้อมูล
วิเคราะห์ตามลักษณะของสินค้าหรือบริการ
- สินค้า B2C
- Facebook Ads: เหมาะสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ที่ต้องการการนำเสนอภาพและวิดีโอที่น่าสนใจ เช่น เสื้อผ้า อาหาร เครื่องสำอาง
- Google Ads: เหมาะสำหรับสินค้าที่ผู้บริโภคมักจะค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ บ้าน
- สำหรับสินค้า B2C ทั่วไป ผมมักใช้ทั้ง Facebook และ Google Ads ควบคู่กัน โดยใช้ Facebook เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นความสนใจ และใช้ Google เพื่อรองรับการค้นหาข้อมูลและการตัดสินใจซื้อ
- สินค้า B2B
- Facebook Ads: ใช้สำหรับการสร้าง Brand Awareness และ Lead Generation ผ่าน Targeting ที่เฉพาะเจาะจง เช่น ตำแหน่งงาน หรือความสนใจทางธุรกิจ
- Google Ads: เหมาะสำหรับการเข้าถึงผู้ตัดสินใจในองค์กรที่กำลังค้นหาโซลูชันทางธุรกิจ
- สำหรับธุรกิจ B2B ผมมักให้น้ำหนักกับ Google Ads มากกว่า เนื่องจากผู้ตัดสินใจในองค์กรมักจะค้นหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ แต่ก็ยังใช้ Facebook Ads เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และเก็บ Leads
- สินค้าที่ต้องการการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลัน
- Facebook Ads: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับสินค้าที่ต้องการการตัดสินใจซื้อเร็ว เช่น สินค้าแฟชั่น อาหาร หรือสินค้าที่มีโปรโมชั่นระยะสั้น
- Google Ads: อาจไม่เหมาะสมนักสำหรับสินค้าประเภทนี้ เนื่องจากผู้บริโภคอาจไม่ได้กำลังค้นหาสินค้านั้นโดยตรง
- สำหรับสินค้าประเภทนี้ ผมมักแนะนำให้ใช้ Facebook Ads เป็นหลัก โดยเน้นการสร้าง Visual Content ที่ดึงดูดและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
ปรับตามงบประมาณและทรัพยากร
- การจัดสรรงบประมาณระหว่างสองแพลตฟอร์ม
- สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น หรือมีงบประมาณจำกัด ผมมักแนะนำให้เริ่มต้นด้วยแพลตฟอร์มเดียวก่อน โดยเลือกตามลักษณะของสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย
- สำหรับธุรกิจที่มีงบประมาณมากขึ้น การใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มควบคู่กันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยทั่วไปผมมักแนะนำให้เริ่มต้นด้วยสัดส่วน 60:40 ระหว่าง Facebook และ Google แล้วค่อยๆ ปรับตามผลลัพธ์ที่ได้
- การบริหารจัดการแคมเปญและทรัพยากรบุคคล
- Google Ads มักต้องการการดูแลและปรับแต่งอย่างสม่ำเสมอมากกว่า Facebook Ads โดยเฉพาะในส่วนของการจัดการ Keywords
- Facebook Ads ต้องการความคิดสร้างสรรค์ในการผลิต Content มากกว่า
- หากคุณมีทีมที่มีประสบการณ์ด้าน SEO และ PPC มาก่อน การเริ่มต้นด้วย Google Ads อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณมีทีม Content Creator ที่แข็งแกร่ง Facebook Ads อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกว่า
สรุปบทความ
การเลือกระหว่าง Facebook Ads และ Google Ads ไม่ใช่เรื่องของการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของการผสมผสานทั้งสองแพลตฟอร์มให้เข้ากับกลยุทธ์การตลาดโดยรวมของคุณ จากประสบการณ์ของผม การใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกันมักให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดย Facebook Ads จะช่วยในการสร้างการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นความสนใจ ในขณะที่ Google Ads จะช่วยในการเข้าถึงลูกค้าที่มี Intent สูงและพร้อมจะ Convert
สิ่งสำคัญที่สุดคือการทดลอง วิเคราะห์ผล และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ คุณต้องหาสมดุลที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณเอง สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการทำการตลาดดิจิทัลไม่ใช่แค่เรื่องของการลงโฆษณา แต่เป็นเรื่องของการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตลอดทั้ง Customer Journey ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้แพลตฟอร์มไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือการมี Content ที่มีคุณภาพ เว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย และการบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม
หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการวางกลยุทธ์และดำเนินการโฆษณาบน Facebook Ads และ Google Ads ทีมงานของ ADCHARIYA พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือคุณในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ ไปจนถึงการดำเนินการและวิเคราะห์ผล เพื่อให้การลงทุนโฆษณาของคุณเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ติดต่อเราวันนี้ เพื่อเริ่มต้นการเดินทางสู่ความสำเร็จในโลกของการตลาดดิจิทัล

Leave a Reply