facebook ads กับ google ads แตกต่างกันอย่างไร

Facebook Ads และ Google Ads แตกต่างกันอย่างไร? 

คุณเคยรู้สึกสับสนและท้อแท้กับการลงทุนโฆษณาออนไลน์ที่ไม่ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังไหมครับ? ผม เข้าใจดีว่าความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร เพราะผมเองก็เคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อน การเลือกแพลตฟอร์มโฆษณาที่ไม่เหมาะสมกับธุรกิจ การตั้งค่าแคมเปญที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย หรือการใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ล้วนเป็นปัญหาที่ทำให้หลายธุรกิจต้องสูญเสียเงินและโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย

จากประสบการณ์กว่า 5 ปีในวงการดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ผม ชาลี แอดฉริยะ ได้เห็นทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวของแบรนด์มากมาย และสิ่งที่ผมพบคือ การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Facebook Ads และ Google Ads อย่างลึกซึ้งเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์

ลองนึกภาพว่าคุณสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 300% ภายในเวลาเพียง 3 เดือน หรือลดต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้าลงได้ถึง 50% นั่นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันครับ แต่เป็นผลลัพธ์จริงที่ผมเคยทำให้กับลูกค้าหลายราย ด้วยการเลือกใช้และปรับแต่งแคมเปญบน Facebook Ads และ Google Ads อย่างชาญฉลาด

ในบทความนี้ ADCHARIYA เอเจนซี่การตลาดออนไลน์ จะแบ่งปันประสบการณ์และเทคนิคเชิงลึกที่จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Facebook Ads และ Google Ads อย่างถ่องแท้ พร้อมทั้งวิธีการเลือกใช้และผสมผสานทั้งสองแพลตฟอร์มให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับธุรกิจของคุณ

มาเริ่มกันเลยครับ

เปรียบเทียบความแตกต่าง Facebook Ads vs Google Ads

ปัจจัยFacebook AdsGoogle Ads
วิธีการ Targeting– ตามข้อมูลประชากรศาสตร์- ความสนใจ
– พฤติกรรมการใช้งาน
– ตาม Keywords
– Intent ของผู้ใช้
รูปแบบโฆษณาหลากหลายและยืดหยุ่น ทั้ง รูปภาพ, วิดีโอ, คาโรเซล, Stories หลากหลายและยืดหยุ่น ทั้งข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ (บน YouTube)
การสร้าง Brand Awarenessเหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้ผ่าน Facebookเหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้ผ่านช่องทางต่างๆ ของ Google 
การสร้างยอดขายเหมาะกับสินค้าที่ตัดสินใจซื้อแบบฉับพลันเหมาะกับสินค้าที่ผู้บริโภคกำลังค้นหาข้อมูล
ต้นทุนและ ROI– CPM ต่ำกว่า
– Conversion Rate อาจต่ำกว่า
– CPC สูงกว่า
– Conversion Rate สูงกว่าสำหรับผู้ที่มี Intent ชัดเจน
การวัดผลและรายงานละเอียดสำหรับการมีส่วนร่วมและพฤติกรรมผู้ใช้แม่นยำสำหรับ Conversions และ ROI
ความเหมาะสมกับธุรกิจ– B2C ทั่วไป
– สินค้าที่ต้องการการนำเสนอภาพ/วิดีโอ
– B2B
– สินค้า/บริการที่ต้องการข้อมูลก่อนตัดสินใจ

เจาะลึก Facebook Ads

facebook ads

โฆษณา Facebook Ads เครื่องมือทรงพลังสำหรับการสร้างแบรนด์และการมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram Ads โดยผมมักจะเปรียบ Facebook Ads เหมือนกับการจัดปาร์ตี้ใหญ่ที่มีแขกนับพันล้านคน คุณมีโอกาสได้พูดคุยและสร้างความประทับใจกับผู้คนมากมาย แต่คุณต้องรู้วิธีที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเขาในท่ามกลางเสียงอึกทึกและกิจกรรมมากมายที่กำลังเกิดขึ้น

ลักษณะเด่นของ Facebook Ads

  1. การเข้าถึงผู้ใช้บน Social Media Platform อย่างกว้างขวาง: Facebook มีผู้ใช้งานมากกว่า 2.9 พันล้านคนทั่วโลก นั่นหมายความว่าไม่ว่าธุรกิจของคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหน คุณมีโอกาสที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณได้อย่างแน่นอน
  2. ความสามารถในการ Targeting ที่ละเอียด: จากประสบการณ์ของผม นี่คือจุดแข็งที่สุดของ Facebook Ads คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียดยิบ ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ ความสนใจ พฤติกรรมการใช้งาน หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น คนที่เพิ่งแต่งงาน หรือย้ายบ้าน
  3. รูปแบบโฆษณาที่หลากหลายและน่าสนใจ: Facebook ให้อิสระในการสร้างสรรค์โฆษณาที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วิดีโอ คาโรเซล หรือแม้กระทั่ง Stories ซึ่งช่วยให้คุณสามารถนำเสนอแบรนด์และผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเภทของโฆษณาบน Facebook

  1. Image Ads: โฆษณารูปภาพที่ดึงดูดสายตา เหมาะสำหรับการสร้าง Brand Awareness อย่างรวดเร็ว ผมมักแนะนำให้ใช้ภาพที่มีสีสันสดใส และมีข้อความที่กระชับ ชัดเจน
  2. Video Ads: โฆษณาวิดีโอที่สร้างการมีส่วนร่วมสูง จากประสบการณ์ของผม วิดีโอสั้น 15-30 วินาทีมักจะได้ผลดีที่สุด โดยเฉพาะถ้าคุณสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ภายใน 3 วินาทีแรก
  3. Carousel Ads: โฆษณาแบบหลายภาพหรือวิดีโอในโพสต์เดียว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ e-commerce ที่ต้องการแสดงสินค้าหลายชิ้นในโฆษณาเดียว
  4. Collection Ads: โฆษณาที่แสดงสินค้าหลายชิ้นพร้อมกัน เมื่อผู้ใช้คลิกจะเปิดไปยังหน้า Instant Experience ที่โหลดเร็วและออกแบบมาเพื่อการขายโดยเฉพาะ
  5. Instant Experience Ads: โฆษณาเต็มหน้าจอที่โหลดเร็ว เหมาะสำหรับการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับผู้ใช้ ผมมักใช้รูปแบบนี้สำหรับแคมเปญที่ต้องการเล่าเรื่องราวของแบรนด์อย่างลึกซึ้ง

ข้อดีของการใช้ Facebook Ads

  1. การสร้าง Brand Awareness ที่มีประสิทธิภาพสูง: Facebook Ads เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการสร้างการรับรู้แบรนด์ ด้วยการเข้าถึงที่กว้างและความสามารถในการ Targeting ที่แม่นยำ คุณสามารถแนะนำแบรนด์ของคุณให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ความสามารถในการ Re-targeting: หนึ่งในกลยุทธ์ที่ผมชอบใช้มากที่สุดคือการ Re-targeting ซึ่ง Facebook ทำได้ดีเยี่ยม คุณสามารถโฆษณาซ้ำกับคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์หรือเพจของคุณ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการ Convert อย่างมาก
  3. ต้นทุนต่อการเข้าถึง (CPM) ที่ค่อนข้างต่ำ: เมื่อเทียบกับสื่อดั้งเดิม Facebook Ads มักจะมีต้นทุนต่อการเข้าถึงที่ต่ำกว่า ทำให้คุณสามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้ด้วยงบประมาณที่จำกัด
  4. การสร้างการมีส่วนร่วมและการสื่อสารกับลูกค้าแบบสองทาง: Facebook เปิดโอกาสให้แบรนด์สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด ผ่านการคอมเมนต์ แชร์ และการตอบกลับ ซึ่งช่วยสร้างความผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาว

ข้อจำกัดของ Facebook Ads

  1. การแข่งขันที่สูงในบางอุตสาหกรรม: ในบางอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ต้นทุนการโฆษณาอาจพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ผมเคยเห็นบางกรณีที่ CPC (Cost Per Click) สูงถึง 5-10 เหรียญสหรัฐ ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าสำหรับบางธุรกิจ
  2. ความท้าทายในการวัดผล ROI: สำหรับบางธุรกิจ โดยเฉพาะ B2B หรือธุรกิจที่มีวงจรการขายยาว การวัดผล ROI จาก Facebook Ads อาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากการ Convert มักไม่เกิดขึ้นทันที
  3. Ad Fatigue: ผู้ใช้ Facebook อาจเกิดความเบื่อหน่ายกับโฆษณาได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าพวกเขาเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการปรับเปลี่ยนครีเอทีฟอย่างสม่ำเสมอจึงมีความสำคัญมาก
  4. การเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัว: การเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการ Targeting ในอนาคต เราเห็นผลกระทบนี้ชัดเจนหลังจากการอัปเดต iOS 14.5 ซึ่งทำให้การติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ทำได้ยากขึ้น

เจาะลึก Google Ads

google ads

โฆษณา Google Ads เป็นแพลตฟอร์มทรงพลังสำหรับการเข้าถึงลูกค้าที่มี Intent สูง ถ้า Facebook Ads เปรียบเสมือนการจัดปาร์ตี้ใหญ่ Google Ads ก็เหมือนกับการเปิดร้านค้าในห้างสรรพสินค้าที่มีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา และกำลังมองหาสิ่งที่พวกเขาต้องการอยู่พอดี ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในช่วงเวลาที่พวกเขามีความตั้งใจซื้อสูงสุด

ลักษณะเด่นของ Google Ads

  1. การเข้าถึงผู้ใช้ที่มี Intent สูง: ผู้ใช้ที่ค้นหาบน Google มักมีความตั้งใจซื้อหรือสนใจในผลิตภัณฑ์/บริการอยู่แล้ว ทำให้โอกาสในการ Convert สูงกว่า platform อื่นๆ ผมเคยเห็นอัตราการ Convert สูงถึง 10-15% สำหรับ keywords ที่มี intent สูงมาก
  2. ความหลากหลายของ Network: Google Ads ไม่ได้จำกัดอยู่แค่หน้าผลการค้นหา แต่ยังรวมถึง Display Network, YouTube, และ Shopping ด้วย ทำให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายรูปแบบ
  3. ความสามารถในการ Track Conversions ที่แม่นยำ: Google Analytics 4 และ Google Ads มีการเชื่อมต่อกันอย่างลงตัว ทำให้คุณสามารถติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญได้อย่างละเอียด ผมมักใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการปรับแต่งแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
  4. การ Target ตาม Keywords ที่เฉพาะเจาะจง: คุณสามารถเลือก keywords ที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ทำให้โฆษณาของคุณปรากฏต่อหน้าคนที่กำลังมองหาสิ่งที่คุณนำเสนอพอดี

ประเภทของโฆษณาบน Google Ads

  1. Search Ads (การทำ SEM): โฆษณาข้อความที่ปรากฏในผลการค้นหา นี่คือรูปแบบที่ใช้กันมากที่สุดและมักให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ เทคนิคสำคัญคือการเลือก keywords ที่เกี่ยวข้องและการเขียน ad copy ที่โดนใจ
  2. Display Campaign (GDN) : โฆษณารูปภาพบนเว็บไซต์พาร์ทเนอร์ของ Google เหมาะสำหรับการสร้าง brand awareness และ remarketing ผมมักใช้ Display Ads ควบคู่กับ Search Ads เพื่อเพิ่ม touchpoints กับกลุ่มเป้าหมาย
  3. Video Ads Campaign : โฆษณาวิดีโอบน YouTube และเว็บไซต์พาร์ทเนอร์ เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้าง engagement และ brand recall โดยเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการการอธิบายหรือสาธิต
  4. Shopping Ads (Performance Max) : โฆษณาสินค้าพร้อมราคาและรูปภาพ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ e-commerce ผมเคยเห็น ROAS (Return on Ad Spend) สูงถึง 800% สำหรับ Shopping Ads ที่ตั้งค่าอย่างเหมาะสม
  5. App Campaign : โฆษณาสำหรับการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Google จะใช้ AI เพื่อปรับแต่งและแสดงโฆษณาในรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติ

ข้อดีของการใช้ Google Ads

  1. โอกาสในการเข้าถึงลูกค้าที่มี Purchase Intent สูง: นี่คือจุดแข็งที่สุดของ Google Ads คนที่ค้นหาบน Google มักมีความตั้งใจซื้อสูงอยู่แล้ว ทำให้โอกาสในการ Convert มีสูงมาก
  2. ความสามารถในการ Target ตาม Keywords ที่เฉพาะเจาะจง: คุณสามารถเลือกโฆษณาให้ปรากฏเฉพาะเมื่อมีคนค้นหาด้วย keywords ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ทำให้ประหยัดงบประมาณและเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ
  3. การวัดผล ROI ที่ชัดเจนและแม่นยำ: Google Ads มีเครื่องมือวัดผลที่ละเอียดและแม่นยำ ทำให้คุณสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าทุกบาทที่ลงทุนไปนั้นให้ผลตอบแทนเท่าไร
  4. ความยืดหยุ่นในการปรับแต่งแคมเปญ: คุณสามารถปรับเปลี่ยนแคมเปญได้อย่างรวดเร็วตามผลลัพธ์ที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการปรับ bid, เปลี่ยน keywords หรือแก้ไข ad copy

ข้อจำกัดของ Google Ads

  1. ต้นทุนต่อคลิก (CPC) ที่อาจสูงในบางอุตสาหกรรม: ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง เช่น ประกันภัยหรือกฎหมาย CPC อาจสูงถึงหลักพันบาทต่อคลิก ทำให้ต้องมีการวางแผนงบประมาณอย่างรอบคอบ
  2. การแข่งขันที่รุนแรงสำหรับ Keywords ยอดนิยม: Keywords ที่มีปริมาณการค้นหาสูงมักมีการแข่งขันสูงตามไปด้วย ทำให้ต้องมีกลยุทธ์ในการเลือก keywords ที่สมดุลระหว่างปริมาณการค้นหาและการแข่งขัน
  3. ความซับซ้อนในการตั้งค่าและบริหารจัดการแคมเปญ: Google Ads มีตัวเลือกและการตั้งค่าที่ซับซ้อน ซึ่งอาจทำให้ผู้เริ่มต้นรู้สึกท้อได้ การเรียนรู้และทำความเข้าใจกับระบบอย่างลึกซึ้งต้องใช้เวลาและความพยายาม
  4. ข้อจำกัดด้านความคิดสร้างสรรค์: เมื่อเทียบกับ Facebook Ads, Google Ads (โดยเฉพาะ Search Ads) มีข้อจำกัดด้านความคิดสร้างสรรค์มากกว่า เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดสำหรับข้อความและไม่สามารถใช้รูปภาพในโฆษณาได้

การเลือกใช้ Facebook Ads และ Google Ads ให้เหมาะกับธุรกิจ

การเลือกใช้แพลตฟอร์มโฆษณาที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการทำการตลาดดิจิทัล จากประสบการณ์ของผม ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่มีหลักการสำคัญที่คุณควรพิจารณา

พิจารณาตามวัตถุประสงค์ทางการตลาด

  1. สร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
    • Facebook Ads: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ด้วยความสามารถในการ Targeting ที่ละเอียดและรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย คุณสามารถสร้าง Content ที่น่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
    • Google Ads: ใช้ Display Network และ YouTube Ads เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ผ่านเว็บไซต์พาร์ทเนอร์และวิดีโอ
  2. ผมมักแนะนำให้เริ่มต้นด้วย Facebook Ads สำหรับแคมเปญสร้างการรับรู้แบรนด์ แล้วค่อยเสริมด้วย Google Display Network เพื่อเพิ่ม Touchpoints
  3. สร้างยอดขาย (Direct Response)
    • Facebook Ads: เหมาะสำหรับสินค้าที่ต้องการการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลัน หรือสินค้าที่ต้องการการนำเสนอภาพและวิดีโอ เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง
    • Google Ads: เหมาะสำหรับสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคกำลังค้นหาและมีความตั้งใจซื้อสูง เช่น บริการทางกฎหมาย ประกันภัย หรือสินค้าเทคโนโลยี
  4. สำหรับสินค้าที่มีราคาไม่สูงมากและตัดสินใจซื้อได้ง่าย ผมมักเริ่มต้นด้วย Facebook Ads แล้วใช้ Google Ads เป็นตัวเสริม แต่สำหรับสินค้าหรือบริการที่มีราคาสูงและต้องการข้อมูลมากก่อนตัดสินใจ ผมจะให้น้ำหนักกับ Google Ads มากกว่า
  5. สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement)
    • Facebook Ads: มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างการมีส่วนร่วม เช่น การแชร์ การคอมเมนต์ และการกดไลค์ เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างชุมชนออนไลน์
    • Google Ads: เน้นการสร้าง Engagement ผ่านการคลิกเข้าชมเว็บไซต์และการทำ Conversion มากกว่าการมีส่วนร่วมในรูปแบบ Social Media
  6. สำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ผมแนะนำให้ใช้ Facebook Ads เป็นหลัก และใช้ Google Ads เพื่อรักษาการมองเห็นแบรนด์ในช่วงที่ลูกค้ากำลังค้นหาข้อมูล

วิเคราะห์ตามลักษณะของสินค้าหรือบริการ

  1. สินค้า B2C
    • Facebook Ads: เหมาะสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ที่ต้องการการนำเสนอภาพและวิดีโอที่น่าสนใจ เช่น เสื้อผ้า อาหาร เครื่องสำอาง
    • Google Ads: เหมาะสำหรับสินค้าที่ผู้บริโภคมักจะค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ บ้าน
  2. สำหรับสินค้า B2C ทั่วไป ผมมักใช้ทั้ง Facebook และ Google Ads ควบคู่กัน โดยใช้ Facebook เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นความสนใจ และใช้ Google เพื่อรองรับการค้นหาข้อมูลและการตัดสินใจซื้อ
  3. สินค้า B2B
    • Facebook Ads: ใช้สำหรับการสร้าง Brand Awareness และ Lead Generation ผ่าน Targeting ที่เฉพาะเจาะจง เช่น ตำแหน่งงาน หรือความสนใจทางธุรกิจ
    • Google Ads: เหมาะสำหรับการเข้าถึงผู้ตัดสินใจในองค์กรที่กำลังค้นหาโซลูชันทางธุรกิจ
  4. สำหรับธุรกิจ B2B ผมมักให้น้ำหนักกับ Google Ads มากกว่า เนื่องจากผู้ตัดสินใจในองค์กรมักจะค้นหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ แต่ก็ยังใช้ Facebook Ads เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และเก็บ Leads
  5. สินค้าที่ต้องการการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลัน
    • Facebook Ads: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับสินค้าที่ต้องการการตัดสินใจซื้อเร็ว เช่น สินค้าแฟชั่น อาหาร หรือสินค้าที่มีโปรโมชั่นระยะสั้น
    • Google Ads: อาจไม่เหมาะสมนักสำหรับสินค้าประเภทนี้ เนื่องจากผู้บริโภคอาจไม่ได้กำลังค้นหาสินค้านั้นโดยตรง
  6. สำหรับสินค้าประเภทนี้ ผมมักแนะนำให้ใช้ Facebook Ads เป็นหลัก โดยเน้นการสร้าง Visual Content ที่ดึงดูดและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

ปรับตามงบประมาณและทรัพยากร

  1. การจัดสรรงบประมาณระหว่างสองแพลตฟอร์ม
    • สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น หรือมีงบประมาณจำกัด ผมมักแนะนำให้เริ่มต้นด้วยแพลตฟอร์มเดียวก่อน โดยเลือกตามลักษณะของสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย
    • สำหรับธุรกิจที่มีงบประมาณมากขึ้น การใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มควบคู่กันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยทั่วไปผมมักแนะนำให้เริ่มต้นด้วยสัดส่วน 60:40 ระหว่าง Facebook และ Google แล้วค่อยๆ ปรับตามผลลัพธ์ที่ได้
  2. การบริหารจัดการแคมเปญและทรัพยากรบุคคล
    • Google Ads มักต้องการการดูแลและปรับแต่งอย่างสม่ำเสมอมากกว่า Facebook Ads โดยเฉพาะในส่วนของการจัดการ Keywords
    • Facebook Ads ต้องการความคิดสร้างสรรค์ในการผลิต Content มากกว่า
  3. หากคุณมีทีมที่มีประสบการณ์ด้าน SEO และ PPC มาก่อน การเริ่มต้นด้วย Google Ads อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณมีทีม Content Creator ที่แข็งแกร่ง Facebook Ads อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกว่า

สรุปบทความ

การเลือกระหว่าง Facebook Ads และ Google Ads ไม่ใช่เรื่องของการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของการผสมผสานทั้งสองแพลตฟอร์มให้เข้ากับกลยุทธ์การตลาดโดยรวมของคุณ จากประสบการณ์ของผม การใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกันมักให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดย Facebook Ads จะช่วยในการสร้างการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นความสนใจ ในขณะที่ Google Ads จะช่วยในการเข้าถึงลูกค้าที่มี Intent สูงและพร้อมจะ Convert

สิ่งสำคัญที่สุดคือการทดลอง วิเคราะห์ผล และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ คุณต้องหาสมดุลที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณเอง สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการทำการตลาดดิจิทัลไม่ใช่แค่เรื่องของการลงโฆษณา แต่เป็นเรื่องของการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตลอดทั้ง Customer Journey ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้แพลตฟอร์มไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือการมี Content ที่มีคุณภาพ เว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย และการบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม

หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการวางกลยุทธ์และดำเนินการโฆษณาบน Facebook Ads และ Google Ads ทีมงานของ ADCHARIYA พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือคุณในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ ไปจนถึงการดำเนินการและวิเคราะห์ผล เพื่อให้การลงทุนโฆษณาของคุณเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ติดต่อเราวันนี้ เพื่อเริ่มต้นการเดินทางสู่ความสำเร็จในโลกของการตลาดดิจิทัล