สำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจออนไลน์ทุกคน การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์และหน้าร้านออนไลน์ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ เพราะในขณะที่คุณกำลังทำการตลาดอยู่นั้น กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณก็กำลังค้นหาข้อมูลสินค้าที่คุณขายผ่าน Search Engine อย่าง Google อยู่เช่นกัน จากสถิติล่าสุดพบว่า กว่า 60% ของผู้บริโภคจะค้นหาข้อมูลสินค้าผ่าน Google ก่อนตัดสินใจซื้อ
และหากคุณต้องการให้เว็บอีคอมเมิร์ซของคุณปรากฏเป็นอันดับแรก ๆ บน Google เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ คุณจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการทำ “SEO E-commerce” ซึ่งเป็นเทคนิคการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้น ๆ บนผลการค้นหา โดย ADCHARIYA เอเจนซี่การตลาดออนไลน์ จะพาคุณไปเรียนรู้กับเทคนิคการทำ SEO สำหรับเว็บอีคอมเมิร์ซอย่างละเอียดในบทความนี้
SEO E-commerce คืออะไร?
SEO E-commerce คือการปรับแต่งและพัฒนาเว็บอีคอมเมิร์ซให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ Google กำหนด เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ บนหน้าผลการค้นหา เมื่อผู้บริโภคค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ กระบวนการนี้ครอบคลุมตั้งแต่การปรับแต่งด้านเทคนิค การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการสร้างลิงก์ที่มีคุณค่า โดยมีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มยอดขายผ่านการสร้างทราฟฟิกที่มีคุณภาพจากการค้นหาแบบออร์แกนิค
ความสำคัญของการทำ SEO E-commerce
การทำ SEO สำหรับเว็บอีคอมเมิร์ซมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจออนไลน์ เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดงบประมาณด้านการตลาดในระยะยาวแล้ว ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ผ่านการติดอันดับบน Google อีกด้วย เพราะเว็บไซต์ที่ปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหามักได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากกว่า ส่งผลให้มีโอกาสปิดการขายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การทำ SEO ยังช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กำลังมองหาสินค้าของคุณได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย
5 เทคนิคทำ SEO E-commerce ให้ประสบความสำเร็จ
การติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากการวางกลยุทธ์และลงมือทำอย่างเป็นระบบ ทีม ADCHARIYA ได้วิเคราะห์เว็บอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จและพบองค์ประกอบสำคัญ 5 ข้อที่เป็นกุญแจสู่การติดอันดับ ซึ่งเราได้นำมาประยุกต์ใช้กับลูกค้าจนเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ทั้ง Organic Traffic ที่เพิ่มขึ้นกว่า 200% และยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มาดูกันว่าแต่ละเทคนิคมีรายละเอียดอย่างไรกันบ้าง
1. การทำ Technical SEO พื้นฐาน
การทำ SEO Technical Audit พื้นฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO สำหรับเว็บอีคอมเมิร์ซ เริ่มต้นจากการปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ให้เร็วที่สุด เพราะความเร็วในการแสดงผลมีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับของ Google และประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์ นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญกับการทำให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดีบนอุปกรณ์มือถือ เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้กว่า 70% เข้าถึงเว็บอีคอมเมิร์ซผ่านสมาร์ทโฟน
- ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว
- ทำให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดีบนมือถือ (Mobile-friendly)
- จัดโครงสร้าง URL ให้เป็นระเบียบและเข้าใจง่าย
- ติดตั้ง SSL Certificate เพื่อความปลอดภัย
2. การทำวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword Research)
การวิจัย Keyword คือพื้นฐานสำคัญของการทำ SEO E-commerce ที่ประสบความสำเร็จ กระบวนการนี้เริ่มจากการค้นหาคำที่ผู้บริโภคใช้ค้นหาสินค้าในหมวดหมู่ของคุณ วิเคราะห์ปริมาณการค้นหาและความยากง่ายในการติดอันดับ รวมถึงศึกษาคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งใช้อยู่ เพื่อวางกลยุทธ์การแข่งขันที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรให้ความสำคัญกับคีย์เวิร์ดที่มี Commercial Intent สูง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การซื้อขายมากกว่า
- ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและมีคนค้นหาเยอะ
- วิเคราะห์ความยากง่ายในการติดอันดับ
- ศึกษาคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งใช้อยู่
- เลือกคีย์เวิร์ดที่มี Commercial Intent สูง
3. การทำ On-page SEO
การทำ On-page SEO สำหรับเว็บอีคอมเมิร์ซนั้นต้องให้ความใส่ใจในทุกรายละเอียด เริ่มจากการเขียน Title Tags และ Meta Description ที่ดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้เกิดการคลิก โดยต้องใส่คีย์เวิร์ดสำคัญอย่างเป็นธรรมชาติใน H1, H2, H3 และเนื้อหาหลัก นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่ม Alt Text ให้กับรูปภาพสินค้าทุกรูป เพราะนอกจากจะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของรูปภาพแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการปรากฏบนการค้นหารูปภาพอีกด้วย
- เขียน Title Tags และ Meta Description ที่น่าคลิก
- ใส่คีย์เวิร์ดใน H1, H2, H3 อย่างเป็นธรรมชาติ
- เพิ่ม Alt Text ให้รูปภาพสินค้า
- เขียนคำอธิบายสินค้าที่ละเอียดและมีคุณภาพ
4. การสร้าง Content ที่มีคุณค่า
การเขียนบทความ SEO สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO E-commerce ในปัจจุบัน เว็บอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จจะไม่เพียงแค่แสดงรายการสินค้าเท่านั้น แต่ต้องนำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ด้วย เช่น บทความให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า รีวิวผลิตภัณฑ์ที่ละเอียดและน่าเชื่อถือ คู่มือการใช้งานที่ครบถ้วน และคำแนะนำในการเลือกซื้อสินค้า การอัพเดทเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีความเคลื่อนไหวและมีคุณค่าต่อผู้ใช้
- เขียนบทความให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า
- สร้าง Product Review ที่น่าเชื่อถือ
- ทำ How-to Guide การใช้งานสินค้า
- อัพเดทเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ
5. การสร้าง Backlinks คุณภาพ
การทำ Backlinks คุณภาพเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยยกระดับอันดับของเว็บอีคอมเมิร์ซของคุณ โดยควรมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลในอุตสาหกรรม (Influencers) การทำ Guest Posts บนเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ รวมถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับ Partners และ Suppliers ที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ คุณภาพของ Backlinks สำคัญกว่าปริมาณ ดังนั้นควรเลือกสร้าง Backlinks จากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเท่านั้น
- ร่วมมือกับ Influencers ในอุตสาหกรรม
- ทำ Guest Posts บนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
- ลงทะเบียนใน Business Directories ที่น่าเชื่อถือ
- สร้างความสัมพันธ์กับ Partners และ Suppliers
ข้อผิดพลาดสำคัญในการทำ SEO E-commerce ที่ควรหลีกเลี่ยง
ในการทำ SEO สำหรับเว็บอีคอมเมิร์ซ มีข้อผิดพลาดสำคัญหลายข้อที่ผู้ประกอบการมักมองข้าม ซึ่งส่งผลเสียต่อการจัดอันดับบน Google และโอกาสทางธุรกิจ มาดูกันว่ามีข้อผิดพลาดอะไรบ้างที่คุณควรระวัง
1. ไม่ทำ Mobile Optimization
จากสถิติล่าสุดพบว่า ผู้ใช้กว่า 70% เข้าถึงเว็บอีคอมเมิร์ซผ่านสมาร์ทโฟน การไม่ทำให้เว็บไซต์ Responsive จึงเป็นความผิดพลาดร้ายแรง เพราะนอกจากจะส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้แล้ว Google ยังใช้ Mobile-first Indexing ในการจัดอันดับ นั่นหมายความว่าเว็บไซต์ที่ไม่เป็นมิตรกับมือถือจะมีโอกาสติดอันดับต้น ๆ น้อยลงอย่างมาก
การทำ Mobile Optimization ที่ดีต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น
- การแสดงผลที่เหมาะสมกับขนาดหน้าจอทุกขนาด
- ความเร็วในการโหลดบนเครือข่ายมือถือ
- ปุ่มกดและเมนูที่ใช้งานง่ายบนหน้าจอสัมผัส
- ฟอนต์และรูปภาพที่อ่านง่ายบนหน้าจอขนาดเล็ก
2. ละเลยการทำ Product Description
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือการใช้คำอธิบายสินค้าสั้น ๆ หรือคัดลอกมาจากผู้ผลิตโดยตรง ซึ่งส่งผลเสียต่อการจัดอันดับใน Google เพราะถือเป็น Duplicate Content นอกจากนี้ การมีคำอธิบายสินค้าที่ไม่ละเอียดพอยังทำให้เสียโอกาสในการใช้คีย์เวิร์ดที่หลากหลาย และไม่สามารถตอบคำถามของลูกค้าได้ครบถ้วน
แนวทางการเขียน Product Description ที่ดีควรประกอบด้วย
- รายละเอียดสินค้าที่ครบถ้วนและเป็นเอกลักษณ์
- คุณสมบัติและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
- คำอธิบายที่ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและเป็นธรรมชาติ
- การใส่คีย์เวิร์ดอย่างแนบเนียน
- ข้อมูลทางเทคนิคที่สำคัญสำหรับการตัดสินใจซื้อ
3. ไม่ทำ Category Pages ให้แข็งแรง
หน้าหมวดหมู่สินค้าเป็นหน้าสำคัญที่ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์และความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าต่าง ๆ การละเลยการทำ SEO สำหรับหน้าเหล่านี้เท่ากับพลาดโอกาสในการติดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดที่มีมูลค่าสูง
องค์ประกอบสำคัญของ Category Pages ที่แข็งแรง
- หัวข้อและคำอธิบายหมวดหมู่ที่ให้ข้อมูลครบถ้วน
- การจัดเรียงสินค้าที่เป็นระบบและใช้งานง่าย
- ระบบกรองและค้นหาที่มีประสิทธิภาพ
- Internal Linking ที่เชื่อมโยงไปยังสินค้าและหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง
- Breadcrumbs ที่ช่วยให้ผู้ใช้และ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์
4. มุ่งเน้นแต่ Short-tail Keywords
การพุ่งเป้าไปที่คีย์เวิร์ดสั้น ๆ เพียงอย่างเดียว เช่น “รองเท้าผ้าใบ” หรือ “กระเป๋าแบรนด์เนม” เป็นกลยุทธ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะมีการแข่งขันสูงและต้องใช้งบประมาณมาก อีกทั้งยังมีโอกาสปิดการขายต่ำกว่า Long-tail Keywords
ข้อดีของการใช้ Long-tail Keywords
- การแข่งขันน้อยกว่า ทำให้ติดอันดับได้ง่ายกว่า
- แสดงถึงความตั้งใจซื้อที่ชัดเจนกว่า
- ค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาถูกกว่า
- มีโอกาสปิดการขายสูงกว่าเพราะตรงกับความต้องการของลูกค้า
- สามารถสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ตรงจุดมากขึ้น
5. ไม่ให้ความสำคัญกับ User Experience
นอกเหนือจากข้อผิดพลาดข้างต้น การละเลย User Experience ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อ SEO โดยตรง Google ให้ความสำคัญกับ Core Web Vitals ซึ่งวัดประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลด ความเสถียรของหน้าเว็บ และความล่าช้าในการตอบสนองต่อการกดของผู้ใช้
แนวทางการปรับปรุง User Experience
- ออกแบบ Navigation ที่ใช้งานง่ายและเป็นระบบ
- ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
- สร้างระบบค้นหาภายในเว็บไซต์ที่แม่นยำ
- ออกแบบหน้า Checkout ที่ใช้งานง่ายและน่าเชื่อถือ
- เพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยในการตัดสินใจซื้อ เช่น รีวิวสินค้า การเปรียบเทียบสินค้า
แนวทางการเริ่มต้นทำ SEO E-commerce อย่างมีประสิทธิภาพ
การเริ่มต้นทำ SEO สำหรับเว็บอีคอมเมิร์ซควรเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ทั้งในแง่ของคีย์เวิร์ดเป้าหมายที่ต้องการติดอันดับ ยอดขายที่คาดหวัง และกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ การตั้งเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจะช่วยให้คุณสามารถวัดผลความสำเร็จและปรับกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนต่อมาคือการทำ SEO Audit เพื่อตรวจสอบปัญหาทางเทคนิคของเว็บไซต์ วิเคราะห์คู่แข่งในตลาด และประเมินจุดแข็งจุดอ่อนของเว็บไซต์ปัจจุบัน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางแผนการปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การศึกษาและทำตาม Best Practices ของ Google รวมถึงการติดตามการอัพเดทของ Algorithm อย่างสม่ำเสมอก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จ
สรุป
การทำ SEO E-commerce เป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มยอดขายแล้ว ยังช่วยสร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจในระยะยาว ADCHARIYA พร้อมช่วยให้คำปรึกษาและวางกลยุทธ์ SEO สำหรับเว็บอีคอมเมิร์ซของคุณ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน

Leave a Reply