มีสินค้าดีแถมคุณภาพยอด ส่วนราคาก็ไม่ได้สูงจนเกินไป เรียกได้ว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ แต่ทำไมยังขายไม่ดี? ยอดขายไม่ค่อยพุ่งทั้ง ๆ ที่ทำการตลาดไปแล้ว นั่นอาจเป็นเพราะว่าคุณไม่ได้มีแผนการตลาดที่ดีหรือเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดที่ไม่เหมาะสมก็ได้ กลยุทธ์การตลาด 2025 มีอยู่มากมาย สิ่งสำคัญที่การเลือกใช้ให้เหมาะกับธุรกิจ สินค้า และกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้คุณพบไอเดียการทำการตลาดแบบใหม่ ๆ และรู้จักกลยุทธ์การตลาด ให้กว้างขึ้น ทั้ง Online และ Offline ADCHARIYA จึงจะมาบอกต่อกลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy) ที่น่าสนใจและควรทำในปี 2025 ให้รู้กัน ไม่ว่าคุณจะมีทีมการตลาดภายในเป็นของตัวเองหรือมีการจ้างเอเจนซี่มาทำการตลาดให้ก็ตาม คุณควรรู้จักและเข้าใจกลยุทธ์การตลาดเหล่านี้บ้าง เพื่อการเติบโตของธุรกิจในปี 2025
- กลยุทธ์การตลาดคืออะไร
- 7 กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ 2025
- 1. Advertising
- 2. SEO (Search Engine Optimization)
- 3. Social Media Marketing
- 4. Content Marketing
- 5. Influencer Marketing
- 6. Email Marketing
- 7. Affiliate Marketing
- 6 กลยุทธ์การตลาดออฟไลน์ 2025
- 1. Event Marketing
- 2. Guerrilla Marketing
- 3. Product Sampling
- 4. In-store Marketing
- 5. Public Relations
- 6. Trade Shows and Exhibitions
- สรุปบทความ
กลยุทธ์การตลาดคืออะไร
กลยุทธ์การตลาดคือแผนงานหรือแนวทางการทำการตลาด เพื่อให้แบรนด์บรรลุเป้าหมายที่วางไว้และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ เช่น การเพิ่มยอดขาย สร้างการรับรู้ หรือขยายฐานลูกค้า เป็นต้น โดยกลยุทธ์การตลาดหรือ Marketing Strategy จะครอบคลุมตั้งแต่การวิเคราะห์สถานการณ์ตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค คู่แข่ง ไปจนถึงการกำหนดแนวทางการสื่อสารและกิจกรรมทางการตลาด อีกทั้งยังเป็นตัวกำหนดทิศทางการตลาดของแบรนด์ในภาพรวมอีกด้วย ธุรกิจที่ไม่มีกลยุทธ์การตลาดมักเสียเปรียบคู่ในหลาย ๆ ด้าน ไร้ทิศทางการดำเนินการที่ชัดเจน เสียงบประมาณมากเกินจำเป็น และตามไม่ทันคู่แข่งได้ โดยการตลาด (Marketing) นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบหลัก ๆ ดังนี้
- การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) คือการทำการตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล สื่อสารกับผู้บริโภคผ่านโลกออนไลน์
- การตลาดออฟไลน์ (Offline Marketing) คือการทำการตลาดผ่านช่องทางธรรมชาติหรือดั้งเดิม ที่เราเห็นได้ทั่ว ๆ ไปตามท้องถนนหรือห้างร้านต่าง ๆ โดยที่ไม่พึ่งพาการใช้อินเทอร์เน็ต
7 กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ 2025
กลยุทธ์การตลาดออนไลน์เป็นแนวทางการทำการตลาดที่ใช้ช่องทางดิจิทัลในการเข้าถึงและสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางและแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2025 ที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้เวลาบนโลกออนไลน์มากขึ้น การทำการตลาดออนไลน์จึงกลายเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจและความได้เปรียบในการแข่งขัน
1. Advertising
Advertising หรือการทำโฆษณาเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ด้วยการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ ที่สามารถกำหนดงบประมาณ ระยะเวลา และกลุ่มเป้าหมายได้ตามต้องการ จุดเด่นคือสามารถวัดผลได้แบบเรียลไทม์ แม่นยำ ทำให้ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนแคมเปญได้ทันทีเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณได้มากอีกด้วย ตัวอย่างการทำโฆษณาออนไลน์
- Google Ads เป็นการทำโฆษณาผ่านเครื่องมือค้นหา (Search Engine) และเครือข่ายของ Google ช่วยให้แบรนด์ปรากฏในผลการค้นหาเมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ
- Facebook Ads คือการทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้ใช้บน Facebook และ Messenger ด้วยรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดตามพฤติกรรมและความสนใจ
- CPAS Ads เป็นระบบโฆษณาอัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการยิงโฆษณา ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์และปรับแคมเปญให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
- Instagram Ads จะเป็นโฆษณาที่เน้นการนำเสนอผ่านภาพและวิดีโอสั้น เหมาะสำหรับสินค้าที่ต้องการสร้างแรงบันดาลใจหรือนำเสนอไลฟ์สไตล์
- TikTok Ads คือการยิงโฆษณาบน TikTok เพื่อให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่สร้างสรรค์ เน้นความสนุกสนานและการมีส่วนร่วม
- YouTube Ads เป็นการทำโฆษณาบน YouTube เพื่อให้แบรนด์สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายผ่านวิดีโอหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่โฆษณาที่ข้ามได้จนถึงโฆษณาแบบเต็มรูปแบบ เหมาะกับการสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง
2. SEO (Search Engine Optimization)
SEO (Search Engine Optimization) กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับบนผลการค้นหาของ Google โดยเฉพาะการติดอันดับในหน้าแรก ซึ่งจะเป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และตรงตามเกณฑ์ของ Search Engine อย่าง Google จุดเด่นของ SEO คือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ จากการที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ นอกจากจะสร้างโอกาสในการปิดการขายแล้ว ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี
3. Social Media Marketing
Social Media Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่ทำผ่านช่องทาง Social Media ต่าง ๆ เช่น Facebook, Instagram, TikTok, LINE และ YouTube โดยกลยุทธ์นี้จะเน้นไปที่การสร้าง Brand Awareness และสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นและกลุ่มผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน การเลือกช่องทางและรูปแบบการนำเสนอที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
4. Content Marketing
Content Marketing คือกลยุทธ์การสร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่าเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่เน้นการขายสินค้าโดยตรง แต่เน้นไปที่การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ผ่านบทความทั่วไป, บทความ SEO, รูปภาพ, วิดีโอ, พอดแคสต์ หรือรูปแบบอื่น ๆ จุดเด่นของกลยุทธ์นี้คือการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจในระยะยาว ช่วยให้แบรนด์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายตาของลูกค้า อีกทั้งยังสนับสนุนการทำ SEO และสร้างโอกาสในการแชร์ต่อบนโซเชียลมีเดียด้วย
5. Influencer Marketing
Influencer Marketing คือการทำการตลาดผ่านคนที่ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก เพื่อช่วยสื่อสารแบรนด์ สินค้า หรือบริการไปยังกลุ่มเป้าหมาย ประสิทธิภาพของกลยุทธ์นี้อยู่ที่ความน่าเชื่อถือและการสื่อสารที่เป็นธรรมชาติของอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการคำแนะนำจากคนที่พวกเขาไว้ใจก่อนตัดสินใจซื้อ
6. Email Marketing
Email Marketing คือการทำการตลาดผ่านการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Email) ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่สนใจธุรกิจของคุณจริง ๆ กลยุทธ์นี้โดดเด่นในแง่ของการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแบบตรงไปตรงมาและวัดผลได้ชัดเจน ธุรกิจสามารถส่งข้อมูล โปรโมชัน หรือข่าวสารที่ปรับแต่งให้เหมาะกับความสนใจของผู้รับแต่ละกลุ่ม ช่วยกระตุ้นยอดขายและรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. Affiliate Marketing
Affiliate Marketing คือกลยุทธ์การตลาดแบบนายหน้า ซึ่งจะเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในการช่วยขายสินค้าหรือบริการ โดยทางแบรนด์จะต้องจ่ายค่าตอบแทนตามผลงาน (Performance-based marketing) เมื่อเกิดการซื้อขายผ่านการแนะนำของนายหน้า ข้อดีของกลยุทธ์นี้คือแบรนด์จะจ่ายเงินให้แก่นายหน้าก็ต่อเมื่อเกิดยอดคำสั่งซื้อจริงเท่านั้น
6 กลยุทธ์การตลาดออฟไลน์ 2025
แม้ว่าโลกออนไลน์จะเติบโตขึ้นทุกวันและมีผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลยุทธ์การตลาดออฟไลน์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างประสบการณ์ตรงและความสัมพันธ์ที่จับต้องได้กับลูกค้า ผ่านช่องทางการตลาดแบบดั้งเดิม เราได้รวบรวม 6 กลยุทธ์การตลาดออฟไลน์ที่ยังคงทรงพลังและสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับธุรกิจได้ในปี 2025 มาฝากกัน โดยแต่ละกลยุทธ์มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับลักษณะธุรกิจและกลุ่มเป้าหมายของคุณ
1. Event Marketing
Event Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายผ่านการจัดอีเวนต์หรือกิจกรรมขึ้นมา เช่น การจัดงานสัมมนา หรือการจัดงานแสดงสินค้า ซึ่งกลยุทธ์นี้จะช่วยเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทดลองสัมผัสประสบการณ์จริงจากสินค้าและบริการ ต่างจากการโฆษณาทั่วไปที่เป็นเพียงการสื่อสารทางเดียว เช่น แบรนด์เครื่องสำอางจัดอีเวนต์เปิดตัวสินค้าใหม่ใจกลางสยาม เพื่อดึงดูดความสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น-วัยทำงาน ซึ่งคนกลุ่มนี้มักจะไปเดินเล่นและนัดกับเพื่อนฝูงที่สยามเป็นประจำ
2. Guerrilla Marketing
Guerrilla Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากยุทธวิธีทางทหารแบบกองโจร มุ่งเน้นการใช้งบประมาณอย่างจำกัดแต่สร้างผลลัพธ์สูงสุด ผ่านการใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างความประหลาดใจให้ผู้พบเห็น โดยมักทำในพื้นที่สาธารณะเพื่อกระตุ้นการบอกต่อและสร้างกระแสไวรัล เช่น การเปลี่ยนทางม้าลายให้กลายเป็นเฟรนช์ฟรายส์ของ McDonald’s หรือการติดโลโก้บนพนักพิงม้านั่งในสวนสาธารณะของ Nike กลยุทธ์นี้นอกจากจะช่วยประหยัดงบประมาณแล้ว ยังสามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ดึงดูดความสนใจได้แม้จากผู้ที่ไม่รู้จักแบรนด์มาก่อน และมีโอกาสสูงที่จะถูกแชร์ต่อในโซเชียลมีเดียจนเกิดเป็นกระแสไวรัลได้โดยที่แบรนด์แทบไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม
3. Product Sampling
Product Sampling เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยให้ผู้บริโภคได้ทดลองสินค้าหรือบริการ เพื่อประสบการณ์ตรงและช่วยในการตัดสินใจก่อนซื้อ ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ ทั้งการแจกสินค้าตัวอย่างในงานอีเวนต์หรือห้างสรรพสินค้า การให้ทดลองผลิตภัณฑ์ ณ จุดขาย การจัดกิจกรรมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์แจกสินค้าให้ผู้ติดตาม แม้กลยุทธ์นี้จะมีต้นทุนสูงกว่าการส่งเสริมการขายรูปแบบอื่น แต่ก็มีประสิทธิภาพอย่างมากในการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างการรับรู้แบรนด์ และที่สำคัญคือช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์จนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อในที่สุด
4. In-store Marketing
In-Store Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งใช้พื้นที่และเครื่องมือภายในร้านค้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านการใช้สื่อต่าง ๆ เช่น โปสเตอร์ เต็นท์การ์ด หรือป้ายแนะนำสินค้า เพื่อดึงดูดความสนใจและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ แตกต่างจาก In-Store Promotion ที่เน้นเพียงการจัดรายการส่งเสริมการขาย เพราะ In-Store Marketing จะใช้เครื่องมือการสื่อสารหลายรูปแบบควบคู่กับการจัดวางสินค้าอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อสร้างความพึงพอใจและความภักดีต่อร้านค้าในระยะยาว
5. Public Relations
Public Relations หรือ PR คือการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์กรกับกลุ่มเป้าหมาย โดยมุ่งสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความน่าเชื่อถือผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดแถลงข่าว การเป็นสปอนเซอร์ และการสนับสนุนกิจกรรมทางสังคม ซึ่งแตกต่างจากการโฆษณาที่เน้นขายสินค้าโดยตรง แต่ PR จะมุ่งเน้นการสร้างภาพลักษณ์และความสัมพันธ์ระยะยาวที่จะนำไปสู่ความเชื่อมั่นและการตัดสินใจซื้อในที่สุด
6. Trade Shows and Exhibitions
Trade Shows and Exhibitions คือการจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการที่รวบรวมบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันมานำเสนอสินค้า บริการ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ภายในงานมีทั้งการจัดบูธ สาธิตผลิตภัณฑ์ จัดสัมมนา และกิจกรรมเน็ตเวิร์คกิ้ง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์แล้ว ยังเป็นโอกาสสำคัญในการพบปะลูกค้า สร้างเครือข่ายธุรกิจ ศึกษาตลาด และสร้างยอดขายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวด้วย
สรุปบทความ
กลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy) เป็นแนวทางการทำการตลาด เพื่อให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งธุรกิจในยุคนี้จะต้องพึ่งพาการทำการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อยู่บนช่องทางที่หลากหลายและไม่พลาดที่จะสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าบนโลกแห่งความเป็นจริง แต่ละกลยุทธ์ก็จะเหมาะสมและตอบโจทย์กับเป้าหมายทางธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามหากคุณทำการตลาดเองไม่เป็นและทีมงานไม่เพียงพอ ก็ลองพิจารณาจ้างเอเจนซี่รับทำการตลาดที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านได้ เช่น ถ้าคุณสนใจกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ SEO กับ Google Ads ก็หาเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญและมีบริการรับทำ SEO กับบริการรับทำ Google Ads อย่าง ADCHARIYA เป็นต้น

Leave a Reply