10 เทคนิคโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ 2025

10 เทคนิคโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ กระตุ้นยอดขายให้ธุรกิจเติบโต

ในแต่ละวัน ผู้บริโภคจะมองเห็นโฆษณาสินค้าจากแบรนด์ต่าง ๆ เยอะมาก แน่นอนว่ามีโอกาสเห็นทั้งโฆษณาของคุณและคู่แข่งในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น การโฆษณาสินค้าแบบเดิม ๆ อาจไม่เห็นผลอีกต่อไป ADCHARIYA จึงจะมาแชร์ 10 เทคนิคโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจ กระตุ้นยอดขายและสร้างโอกาสให้ธุรกิจเติบโตผ่านบทความนี้ให้รู้กัน รับรองได้เลยว่าโฆษณาสินค้าของคุณจะโดดเด่นขึ้น น่าสนใจขึ้น และสามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง (อัปเดต 2025)

1. ภาพและวิดีโอต้องมีคุณภาพ

ตัวสื่อ (Media) อย่างภาพและวิดีโอสำคัญมากในการทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจกลุ่มเป้าหมาย เพราะภาพจะแสดงให้เห็นว่าตัวสินค้ามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้ามีการใส่ความครีเอทีฟในการจัดวางองค์ประกอบ และมีการใช้สีที่ดี โฆษณาสินค้าของคุณก็จะดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายให้หยุดนิ้วและอ่านข้อมูลเพิ่มเติมอย่างแน่นอน ส่วนวิดีโอก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเห็นได้ทั้งภาพและเสียงควบคู่กันไป คุณสามารถนำเสนอสินค้าได้ครบทุกแง่มุม แต่ไม่ว่าคุณจะใช้ภาพหรือวิดีโอในการทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณภาพของสื่อ อาทิ ความคมชัด โทนสี ความสวยงาม ความลงตัว และความสามารถในการนำเสนอสินค้าหรือบริการของคุณ

2. มี Message ชัดเจน

Message คือสารที่คุณอยากจะบอกกับกลุ่มเป้าหมาย (ข้อความโฆษณาสินค้า) อาจจะมาจากจุดประสงค์ของการสร้างแคมเปญโฆษณาก็ได้ การมี Message ที่ชัดเจนและตรงประเด็นนั้น จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจคุณค่าของสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณควรบอกให้เคลียร์ว่าสินค้าของคุณมีประโยชน์อย่างไรต่อพวกเขา รวมถึงคุณสมบัติ และเหตุผลที่ควรค่าแก่การซื้อด้วย แนะนำให้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากต้องการสื่อสารกับกลุ่ม Gen Z อาจใช้คำหรือวลีที่อยู่ในกระแสปัจจุบัน แต่ต้องระวังไม่ให้ดูเหมือนพยายามเกินไปจนทำให้แบรนด์ดูไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากโฆษณาสินค้าที่เผยแพร่ออกไป จะสะท้อนถึงภาพลักษณ์และตัวตนของแบรนด์ด้วย

3. ใส่คำกระตุ้นการตัดสินใจ

คำกระตุ้นการตัดสินใจหรือ Call to Action (CTA) คือองค์ประกอบสำคัญที่จะนำผู้บริโภคจากความสนใจไปสู่การตัดสินใจซื้อ CTA ที่มีประสิทธิภาพควรสั้น กระชับ และสื่อความหมายได้ชัดเจน เช่น “ซื้อเลย” “ลงทะเบียนวันนี้” หรือ “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม” ตำแหน่งของ CTA ควรอยู่ในจุดที่สังเกตเห็นได้ง่าย และมีความโดดเด่น โดยอาจใช้สีที่ตัดกับพื้นหลัง หรือขนาดที่ใหญ่พอสมควร

การเพิ่มความเร่งด่วนในข้อความ CTA ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจเร็วขึ้น เช่น “มีจำนวนจำกัด” “เฉพาะวันนี้เท่านั้น” หรือ “โปรโมชั่นเหลือเพียง 2 วันสุดท้าย” ซึ่งใช้หลักการทางจิตวิทยาที่เรียกว่า Scarcity Marketing ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าหากไม่รีบตัดสินใจ อาจพลาดโอกาสดี ๆ ไป

4. นำเสนอโปรโมชันพิเศษ

โปรโมชันพิเศษเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคชื่นชอบเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาจะได้สิ่งที่ต้องการในราคาสบายกระเป๋า ถือว่าคุ้มค่าสุด ๆ  เทคนิคนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในการโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจที่ทรงพลัง เนื่องจากกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็ว  ซึ่งนอกจากจะได้สินค้าแล้ว ยังได้ความรู้สึกว่าได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าปกติ ด้วย โดยการเปรียบเทียบราคาปกติกับราคาโปรโมชันจะทำให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนว่ากำลังประหยัดเงินได้เท่าไร แนะนำให้ระบุระยะเวลาโปรโมชันให้ชัดเจนด้วย

โปรโมชันอาจมีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดราคาเป็น %, การซื้อ 1 แถม 1, แพ็กเกจแบบรวมสินค้า, ส่งฟรีเมื่อซื้อครบตามจำนวน หรือของแถมพิเศษ แต่สิ่งสำคัญคือการออกแบบโปรโมชันให้เหมาะสมกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย หากเป็นสินค้าที่มีภาพลักษณ์หรูหรา อาจไม่เหมาะกับการลดราคาแบบเยอะ ๆ แต่อาจเป็นการมอบประสบการณ์พิเศษหรือบริการเสริมที่มีคุณค่าแทน

5. ใช้หลักการ Social Proof

Social Proof หรือหลักฐานทางสังคม คือแนวคิดทางจิตวิทยาที่แสดงให้เห็นว่าคนมักตัดสินใจโดยดูจากการกระทำของคนอื่น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจ การใช้ Social Proof ในการโฆษณาสินค้า จึงเป็นการยืนยันคุณค่าของสินค้าหรือบริการผ่านประสบการณ์ของผู้อื่น ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อสินค้า รูปแบบที่พบเห็นบ่อยได้แก่ รีวิวจากลูกค้าจริง การรับรองจากผู้เชี่ยวชาญ หรือการแสดงตัวเลขผู้ใช้งานสินค้า ยิ่งรีวิวจากลูกค้าจริงมีความเรียล เฉพาะเจาะจง มีรายละเอียดชัดเจน และมาจากคนที่คล้ายคลึงกับกลุ่มเป้าหมาย ยิ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากกว่ารีวิวทั่วไป

6. ใช้กลยุทธ์ FOMO Marketing

FOMO (Fear Of Missing Out) คือความกลัวที่จะพลาดโอกาสดี ๆ ไป ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจด้วยการใช้จิตวิทยาเกี่ยวกับความกลัวที่จะพลาดประสบการณ์อย่างที่คนอื่นได้ไป ทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อทันที เพราะรู้สึกได้ถึงความเร่งด่วนที่ต้องรีบตัดสินใจ และความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่ไม่พลาดโอกาสพิเศษนั้น เช่น การกำหนดเวลาจำกัดสำหรับโปรโมชัน การแสดงจำนวนสินค้าที่เหลือน้อย หรือการสร้างคอลเลกชันพิเศษที่มีจำนวนจำกัด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม

7. สร้าง Storytelling

การสร้าง Storytelling หรือการเล่าเรื่องในโฆษณาเป็นเทคนิคที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เรื่องราวที่น่าสนใจและมีความหมายจะช่วยส่งเสริมให้สินค้าของคุณโดดเด่นขึ้น คุณอาจจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์ จุดเริ่มต้นในการสร้างสินค้าแต่ละตัว แรงบันดาลใต อุปสรรค์ที่เคยพบ เบื้องหลังการผลิตสินค้า หรือเรื่องราวของลูกค้าจริงที่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้หลังจากที่ซื้อสินค้าของคุณไปใช้ นอกจากจะทำให้แบรนด์และสินค้าของคุณดูน่าสนใจขึ้นมาแล้ว ยังทำให้แบรนด์ดูมีคุณค่าและน่าจดจำมากขึ้นอีกด้วย

8. ดึง Influencer มาช่วยโปรโมต

Influencer Marketing คือการทำการตลาดโดยใช้อินฟลูเอนเซอร์มาช่วยโปรโมตสินค้าให้เป็นที่รู้จัก เรียกได้ว่าตอบโจทย์และเหมาะสมกับการนำมาใช้ในการทำโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคในยุคนี้ เชื่อมั่นและไว้ใจสินค้าที่อินฟลูเอเซอร์แนะนำ และความเชื่อมั่นนี้ก็ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างรวดเร็วด้วย การเลือก Influencer หรือ KOL ควรเลือกให้เหมาะกับสินค้า มีกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกัน สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ และตรงกับเป้าหมายของแคมเปญ

9. เน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ

ถ้าคุณทำโฆษณาสินค้าออกไปแล้ว ไม่ได้บอกประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ ลูกค้าก็จะไม่รู้ว่าสินค้าของคุณมีดีและตอบโจทย์พวกเขาอย่างไร ดังนั้น คุณจะต้องใส่ประโยชน์ของสินค้าลงไปด้วย และประโยชน์ดังกล่าวต้องสามารถแก้ไขปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ คุณสามารถใส่คุณสมบัติและข้อมูลสินค้าประกอบเข้าไปด้วยได้ เพื่อประกอบการพิจารณาในการตัดสินใจซื้อ

10. ยิงโฆษณาหลาย ๆ ช่องทาง

การยิงโฆษณาหลากหลายช่องทางจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม เพราะแต่ละแพลตฟอร์มมีกลุ่มผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน  การกระจายงบประมาณการตลาดในการทำโฆษณาสินค้าโน้มนาวใจไปยังหลาย ๆ ช่องทาง จึงช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อกลุ่มเป้าหมายเห็นโฆษณาของคุณซ้ำ ๆ ในหลายแพลตฟอร์ม จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการจดจำแบรนด์ ซึ่งส่งผลดีต่อการตัดสินใจซื้อด้วย

  • Google Ads การโฆษณาผ่านเครือข่ายของ Google ช่วยให้โฆษณาสินค้าของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความตั้งใจซื้อสูง และยังมีรูปแบบโฆษณาที่หลากหลายอีกด้วย
  • Facebook Ads การโฆษณสินค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่ใช้งาน Facebook อย่างแม่นยำ เพราะมีระบบการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ละเอียด และมีรูปแบบโฆษณาที่หลากหลายให้เลือก
  • TikTok Ads โฆษณาสินค้าแบบวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์มยอดนิยมติ๊กต๊อก ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นการมีส่วนร่วม
  • YouTube Ads โฆษณาสินค้าบนแพลตฟอร์ม YouTube ที่ใคร ๆ ก็เข้าไปใช้งานกันเป็นประจำ สามารถเลือกตำแหน่งในการแสดงโฆษณาได้หลายจุด

สรุป

การโฆษณาสินค้าหรือบริการเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้น ถ้าคุณไม่ได้โปรโมตออกไปก็จะไม่มีใครรู้จักคุณ ยอดขายก็จะไม่เพิ่มขึ้น และยังทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีกด้วย การโฆษณาสินค้าสามารถทำได้หลายวิธี หลายช่องทาง บางธุรกิจอาจจะเหมาะกับการทำ Social Media Marketing, บางธุรกิจอาจจะเหมาะกับการทำ Performance Marketing หรือการทำ SEO มากกว่า ลองวิเคราะห์จากกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของธุรกิจดูว่าเราเหมาะกับการโฆษณาสินค้ารูปแบบไหน อย่างไรก็ตาม บทความนี้ก็ได้แนะนำเทคนิคโฆษณาสินค้าโน้มน้าวใจให้คุณทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์การตลาดกันได้เลย