เคยสงสัยไหมว่าทำไมเว็บไซต์บางเว็บไซต์ถึงขึ้นอันดับต้น ๆ ใน Google ในขณะที่เว็บไซต์ของคุณอยู่อันดับท้าย ๆ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์ใน Google คือ การใช้คีย์เวิร์ด ในบทความนี้ เราจะมาอธิบายว่า คีย์เวิร์ด คืออะไร และแนะนำกลยุทธ์การหาคีย์เวิร์ดสำหรับทำ SEO ที่จะช่วยดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น
สิ่งที่คุณจะได้รับจากการอ่านบทความนี้คือ Keyword คืออะไร, Keyword มีกี่ประเภท, วิธีหา Keyword SEO และกลยุทธ์หาคีย์เวิร์ดสำหรับทำ SEO ฉบับบริษัทรับทำ SEO อย่าง ADCHARIYA หากคุณอยากให้อันดับเว็บไซต์ของคุณสูงขึ้นด้วยการใช้กลยุทธ์ Keyword ที่มีประสิทธิภาพ เราไปติดตามอ่านกันได้เลย
Keyword คืออะไร
Keyword หรือ คีย์เวิร์ด เปรียบเสมือน “กุญแจสำคัญ” ที่ไขประตูสู่ความสำเร็จบนโลกออนไลน์ เพราะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ใช้ที่ต้องการค้นหาข้อมูลและเว็บไซต์ของคุณ โดยจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าการค้นหาของ Google เมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏบนหน้าแรก ดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
ซึ่งความสำคัญของ Keyword ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ SEO เท่านั้น ยังมีบทบาทสำคัญในการยิงโฆษณา (Google Ads, YouTube Ads) และการตลาดออนไลน์ด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้ Conversion และ Lead สำหรับธุรกิจของคุณ เรียกได้ว่า Keyword เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย เข้าใจความต้องการของผู้ใช้ พัฒนาเนื้อหาและกลยุทธ์การตลาดที่ตรงใจก็ว่าได้
ประโยชน์ของการใช้ Keyword
- ดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหา เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ ขยายฐานลูกค้า
- ดึงดูดผู้เข้าชมที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มโอกาสในการได้ Conversion และเพิ่มยอดขาย
- เพิ่มการรับรู้แบรนด์ ขยายฐานลูกค้า และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์
- ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์
Keyword มีกี่ประเภท?
Keyword สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

Generic Keyword
Generic Keyword คือ Keyword ที่มีความหมายแบบกว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง มีลักษณะเป็นคำสั้น ๆ ที่มี Search Volume สูง และแน่นอนว่าการแข่งขันก็สูงด้วยเช่นกัน ทำให้มีความยากที่จะทำให้ติดอันดับต้น ๆ บนหน้าการค้นหา โดยเฉพาะกับเว็บไซต์ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน ทั้งนี้ บางเว็บไซต์อาจจะเรียก Generic Keyword ว่า Seed Keyword หรือ Mass Keyword ได้
ตัวอย่าง : กล้องถ่ายรูป, เสื้อกันหนาว, รองเท้าผ้าใบ, รองเท้าผู้หญิง, อาหารไทย, อาหารคลีน, สูตรอาหาร, ตั๋วเครื่องบิน, รีวิวเครื่องสำอาง, คอนโด, ออกกำลังกาย, บาสเกตบอล และรถยนต์
Niche Keyword
Niche Keyword คือ Keyword ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่า Generic Keyword ขึ้นมาอีกระดับ โดยคนที่ค้นหา Keyword ประเภทนี้เป็นคนที่มีความสนใจในตัวสินค้าประเภทนั้น ๆ แล้ว รู้ว่าต้องการอะไร และเริ่มอยากที่จะซื้อสินค้าชิ้นนั้นแล้ว ลักษณะของ Niche Keyword จะเป็นคำที่ยาวขึ้น มีรายละเอียดของสินค้ามากขึ้น Search Volume อยู่ในระดับปานกลาง และการแข่งขันไม่สูงเท่า Generic Keyword
ตัวอย่าง : ซื้อรองเท้าผู้หญิงออนไลน์, สูตรอาหารคลีนสำหรับเด็ก, ร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพ, เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี, ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นราคาถูก, รีวิวกล้องถ่ายรูป Sony, สกินแคร์ลดริ้วรอย และคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์
Longtail Keyword
Longtail Keyword คือ Keyword ที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง มีลักษณะเป็น Keyword ยาว ๆ ที่ประกอบไปด้วยคำ 3 คำขึ้นไป คล้าย ๆ กับประโยค มี Search Volume ต่ำ และง่ายต่อการติดอันดับการค้นหา เมื่อเทียบกับ Keyword ประเภทอื่น ๆ ซึ่งผู้ที่ค้นหาข้อมูลด้วย Longtail Keyword มักจะเป็นคนที่พร้อมจ่ายเงินซื้อสินค้าแล้ว เพียงแต่ต้องการความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกนิดว่าจะซื้อสินค้าจากแบรนด์ใด
ตัวอย่าง : ที่พักบนดอยอินทนนท์ แบบครอบครัว วิวสวย ๆ , เปรียบเทียบโน้ตบุ๊ก Dell กับ Lenovo ที่เหมาะกับการเล่นเกม, บ้านเดี่ยวมือสอง แถวลาดพร้าว ที่มีพื้นที่กว้าง ๆ , ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นบินตรงจากกรุงเทพ ราคาถูก, ฉีดฟิลเลอร์ Restylane ตรงขมับดีไหม ราคาเท่าไหร่ และรีวิวร้านอาหารอิตาเลี่ยนตอนค่ำ ที่มีบรรยากาศโรแมนติก
Brand Keyword
Brand Keyword คือ Keyword ชื่อแบรนด์ที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง ผู้ที่ทำการค้นหา Brand Keyword เป็นคนที่รู้จักแบรนด์อยู่แล้ว อาจจะเป็นลูกค้าเก่าหรือลูกค้าใหม่ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์ก็ได้ ส่วน Search Volume จะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับความนิยมของแบรนด์ ยิ่งแบรนด์ใหญ่ Search Volume ก็จะยิ่งสูง
ตัวอย่าง : ADCHARIYA, NIKE, ADIDAS, Uniqlo, Samsung, Apple, L’Oreal, CP, Ideo Q, Krungsri, Google, การบินไทย, MK, Gentlewomen, Sony, Makro, Big C ฯลฯ
เปิด 4 กลยุทธ์หาคีย์เวิร์ดสำหรับทำ SEO
Keyword Research เป็นกระบวนการค้นหา Keyword SEO ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และเกี่ยวข้องกับธุรกิจมากที่สุด และเพื่อให้คุณทราบว่าลูกค้าใช้คำอะไรในการค้นหา, การแข่งขันของแต่ละ Keyword เป็นอย่างไร, Keyword ไหนมีแนวโน้มในการดึงคนเข้ามาสู่เว็บไซต์ได้มากที่สุด, Keyword ไหนทำแล้วติดอันดับง่ายมากกว่ากัน หรืออื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก! ลองมาดูกันว่ากลยุทธ์ในการทำ Keyword Research หรือหา Keyword SEO จะมีอะไรกันบ้าง
1. เลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สินค้า หรือบริการ
Keyword ที่ดีต้องเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ และต้องตรงกับปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าด้วย ยิ่ง Keyword เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณมากเท่าไหร่ ยิ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าของคุณจริง ๆ ได้มากเท่านั้น ก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นเว็บไซต์คุณมากขึ้น มีโอกาสคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ของคุณมากขึ้น และทำให้มีโอกาสตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการคุณเยอะกว่าเดิมเช่นกัน
2. เลือก Keyword จาก Search Volume
Search Volume คือปริมาณการค้นหาโดยเฉลี่ยต่อเดือนของ Keyword ที่มีผู้ค้นหาจริง ซึ่งปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาเรื่องนี้จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณเป็นหลัก เช่น ต้องการเพิ่ม Traffic และ Brand Awareness ให้เลือก Keyword ที่มี Search Volume สูง และถ้าต้องการเพิ่ม Conversion ให้เลือก Keyword ที่มี Search Volume ไม่สูงมากจนเกินไป
3. เลือก High Commercial Intent Keyword
High Commercial Intent คือ Keyword ที่ผู้ใช้ค้นหาด้วยความตั้งใจและต้องการซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ซึ่งเป็น Keyword ที่สามารถทำเงินให้เราได้ โดยจะแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบคือ Product Keyword และ Buy Now Keyword
- Product Keyword : Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่คุณนำเสนอ มักจะประกอบด้วยชื่อสินค้า, รุ่น, ยี่ห้อ, คุณสมบัติ และประโยชน์ เช่น สมาร์ตโฟน Samsung Galaxy S23 Ultra, ครีมกันแดด SPF 50 PA++++ และรองเท้าวิ่ง Nike Zoom Air Pegasus 39 เป็นต้น
- Buy Now Keyword : Keyword ที่ถูกค้นหาโดยคนที่ต้องการสินค้าชิ้นนั้นมาก ๆ หรือต้องการซื้อด่วน เช่น จองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่วันนี้, สมัครคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ ฟรี! ฯลฯ
4. เช็ก Keyword Difficulty ก่อนเลือก Keyword
Keyword Difficulty เป็นค่าคะแนนที่ใช้วัดความยากง่าย ในการขึ้นอันดับบน Search Engine Result Page (SERP) โดยคำที่มีคะแนน Keyword Difficulty ต่ำ แสดงว่าง่ายมีโอกาสติดอันดับสูง ส่วนคำที่มีคะแนน Keyword Difficulty สูง แสดงว่ายาก และมีโอกาสขึ้นอันดับ บน SERP ต่ำ
สรุปบทความ
Keyword คือสิ่งที่ผู้คนใช้ค้นหาบน Search Engine เพื่อตอบสนองความต้องการ ซึ่ง Keyword ก็เป็นเหมือนตัวนำทางที่จะพาลูกค้ามารู้จักกับธุรกิจของคุณ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักคือ Generic, Niche, Longtail และ Brand Keyword ส่วนการหาคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดคือการทำ Keyword Research และเลือก Keyword จากกลยุทธ์ที่เราได้แนะนำกันไปในบทความนี้ เพียงเท่านี้ Google ก็จะเปิดการมองเห็นและดันเว็บไซต์ของคุณให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นได้แล้ว!

Leave a Reply