ในสนามแข่งขันธุรกิจดิจิทัลที่เต็มไปด้วยการแย่งชิงความสนใจ Google Business Profile จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงเป้าหมาย เมื่อผู้บริโภคค้นหาบริการต่างๆ บน Google และพบเห็นข้อมูลธุรกิจที่ครบถ้วน น่าเชื่อถือ และดึงดูดสายตา โอกาสในการกลายเป็นทางเลือกแรกของลูกค้าจะยิ่งสูงขึ้น
การปักหมุดและสร้างโปรไฟล์ที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่แค่ตัวเลือก แต่เป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นในการสร้างการรับรู้และดึงดูดลูกค้าในยุคปัจจุบัน ในบทความนี้เราจะมาแชร์เคล็ดลับและวิธีการที่จะทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นบน Google Business Profile เหนือคู่แข่งกัน
ทำความเข้าใจ Google Business Profile คืออะไร
Google Business Profile หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมว่า Google My Business (GMB) เป็นเครื่องมือฟรีที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถจัดการการแสดงผลของธุรกิจบนเครือข่ายของ Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงข้อมูลบน Google Search, Google Maps หรือบริการอื่นๆ
เมื่อผู้ใช้ค้นหาธุรกิจหรือบริการในพื้นที่ใกล้เคียง Google จะแสดงผลธุรกิจที่มีข้อมูลครบถ้วนและได้รับการยืนยันแล้วในตำแหน่งที่โดดเด่น ซึ่งรวมถึงแผนที่ ข้อมูลติดต่อ เวลาทำการ รีวิวจากลูกค้า และข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจใช้บริการได้ง่ายขึ้น
ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจาก Google My Business
Google My Business เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตในโลกออนไลน์ และธุรกิจที่ใช้งาน GMB อย่างมีประสิทธิภาพมักได้เปรียบคู่แข่งอย่างชัดเจน ดังนี้
- การเพิ่มโอกาสในการค้นพบธุรกิจ ธุรกิจของคุณจะปรากฏในผลการค้นหาและ Google Maps เมื่อลูกค้าค้นหาสินค้าหรือบริการในพื้นที่ใกล้เคียง
- การสร้างความน่าเชื่อถือ โปรไฟล์ที่ได้รับการยืนยันจาก Google ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- การเพิ่มช่องทางติดต่อ ลูกค้าสามารถติดต่อธุรกิจได้ง่ายผ่าน
- การวิเคราะห์และพัฒนา ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า
ขั้นตอนการสมัคร Google My Business แบบละเอียด
เราสามารถสมัครได้ที่ Google Business Profile ด้วยการใช้บัญชี Google หรือ Gmail หากเรามีบัญชี Google พร้อมแล้ว ก็คลิก “จัดการ” ได้เลย โดยมีขั้นตอน ดังนี้
1. ตั้งชื่อธุรกิจอย่างไรให้โดดเด่น
ขั้นแรกที่สำคัญคือการตั้งชื่อธุรกิจ ซึ่งไม่ควรใส่เพียงชื่อบริษัทหรือแบรนด์เท่านั้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าเข้าถึงคุณได้ง่ายขึ้นคือการใส่ “Keyword” ที่เกี่ยวข้อง เช่น หากเป็นร้านอาหาร อาจตั้งเป็น “ร้านอาหารไทย [ชื่อร้าน] สาขาสยาม” เพื่อให้ผู้ค้นหาเข้าใจทันทีว่าธุรกิจของคุณคืออะไร
2. แสดงผลบน Google Search และ Maps
เมื่อระบบถามว่าต้องการให้ธุรกิจแสดงผลบน Google Search และ Maps หรือไม่ ให้เลือก “ใช่” เพราะนี่คือจุดประสงค์หลักของการทำ GMB เพื่อให้ลูกค้าค้นหาและเข้าถึงธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น
3. กรอกข้อมูลที่อยู่ให้ครบถ้วน
กรอกที่อยู่ของธุรกิจให้ครบถ้วนและถูกต้องทุกส่วน ได้แก่
- เลขที่
- ถนน
- แขวง/ตำบล
- เขต/อำเภอ
- จังหวัด
- รหัสไปรษณีย์
4. การปักหมุดที่ตั้งธุรกิจ
การปักหมุดตำแหน่งที่ตั้งต้องทำอย่างแม่นยำ โดยเลื่อนหมุดให้ตรงกับตำแหน่งที่ตั้งจริงของธุรกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าหลงทาง หากตำแหน่งที่ Google แสดงไม่ตรง สามารถปรับแก้ได้ด้วยตนเอง
5. พื้นที่ให้บริการนอกสถานที่
หากธุรกิจของคุณเป็น E-Commerce หรือให้บริการนอกสถานที่ ให้ตอบ “ใช่” เพื่อขยายขอบเขตการแสดงผล ซึ่งเหมาะกับธุรกิจที่
- ขายสินค้าออนไลน์และจัดส่งทั่วประเทศ
- ให้บริการถึงบ้านลูกค้า
- รับงานนอกสถานที่
6. กำหนดพื้นที่ให้บริการ
สำหรับธุรกิจที่รับงานหรือส่งสินค้านอกพื้นที่ สามารถระบุขอบเขตได้ตามต้องการ
- ระบุจังหวัดที่ให้บริการ
- เลือกประเทศ (กรณีส่งสินค้าต่างประเทศ)
- กำหนดรัศมีการให้บริการ
7. เลือกหมวดหมู่ธุรกิจ
เลือกหมวดหมู่ที่ตรงกับธุรกิจของคุณมากที่สุด สามารถเลือกได้ทั้งหมวดหมู่หลักและหมวดหมู่รอง เช่น
- ร้านอาหาร (หลัก) > อาหารไทย (รอง)
- ร้านเสริมสวย (หลัก) > สปา (รอง)
8. เพิ่มช่องทางการติดต่อ
ใส่ข้อมูลการติดต่อให้ครบถ้วน
- เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้จริง
- เว็บไซต์ (หากไม่มี ใช้ Facebook Page หรือ Line Official แทนได้)
- อีเมลสำหรับติดต่อ
9.การยืนยันตัวตนธุรกิจ
การยืนยันตัวตนเป็นขั้นตอนที่ Google ใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ โดยมีวิธีการยืนยันหลัก 2 แบบ คือ การยืนยันผ่านไปรษณียบัตรที่ Google จะส่งมาที่ที่อยู่ธุรกิจของคุณ หรือการยืนยันผ่านโทรศัพท์ในบางกรณี ซึ่งจะได้รับรหัสยืนยันผ่าน SMS หรือการโทร
หลังจากยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเริ่มใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ของ Google My Business ได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น การเพิ่มรูปภาพ การตอบรีวิว และการโพสต์อัพเดทต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและดึงดูดลูกค้าให้กับธุรกิจของคุณ
เทคนิคการใช้ Google My Business สำหรับธุรกิจ
การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้โปรไฟล์ธุรกิจของคุณมีชีวิตชีวาและดึงดูดความสนใจจากลูกค้า ในฐานะบริษัทรับทำ Content Marketing เราพบว่าธุรกิจที่มีการอัพเดทเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอมักจะได้ผลตอบรับที่ดีกว่า
การสร้างโพสต์ให้มีประสิทธิภาพบน Google My Business
การโพสต์เนื้อหาบน Google My Business นั้นต้องมีกลยุทธ์และความสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่การแชร์ข้อความธรรมดา โดยเนื้อหาที่ควรโพสต์นั้นควรหลากหลายและครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจ เริ่มตั้งแต่การอัพเดทข่าวสารล่าสุดของธุรกิจ การประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษต่างๆ รวมถึงการแจ้งกิจกรรมและอีเวนต์ที่กำลังจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังควรนำเสนอสินค้าหรือบริการใหม่ๆ พร้อมทั้งแชร์เคล็ดลับและความรู้ที่เป็นประโยชน์ให้กับลูกค้า
เรื่องความถี่ในการโพสต์นั้นควรทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยเน้นที่คุณภาพของเนื้อหามากกว่าปริมาณ การวางแผนตารางการโพสต์ล่วงหน้าจะช่วยให้การสื่อสารกับลูกค้าเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
การใช้สื่อภาพและวิดีโอให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ภาพและวิดีโอถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสื่อสารกับลูกค้า การเลือกใช้รูปภาพต้องคำนึงถึงมาตรฐานหลายด้าน เริ่มจากความละเอียดของภาพที่ควรมีอย่างน้อย 720×720 pixels เพื่อความคมชัด การจัดแสงที่เพียงพอเพื่อให้เห็นรายละเอียดชัดเจน การจัดองค์ประกอบภาพที่สมดุลและสวยงาม และที่สำคัญคือภาพต้องสามารถสื่อถึงตัวตนของแบรนด์และบริการได้อย่างชัดเจน
การจัดการคลังรูปภาพก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรมีการอัพเดทรูปภาพใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ จัดหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบเพื่อง่ายต่อการค้นหาและใช้งาน พร้อมทั้งใส่คำอธิบายภาพที่ชัดเจนและเหมาะสม เพื่อให้ทั้งระบบและผู้ใช้งานเข้าใจถึงเนื้อหาของภาพนั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น
การใช้ Insights เพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพ
Google My Business Insights เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกนี้จะช่วยให้คุณเห็นว่าลูกค้าค้นหาธุรกิจของคุณอย่างไร พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับโปรไฟล์ของคุณอย่างไร และช่วงเวลาใดที่มีการเข้าชมมากที่สุด
การวิเคราะห์การมองเห็น (Visibility) เป็นส่วนสำคัญที่ต้องติดตาม โดยคุณสามารถดูได้ว่ามีผู้ค้นพบธุรกิจของคุณผ่านการค้นหาจำนวนเท่าไร คำค้นหาใดที่นำพาพวกเขามาถึงโปรไฟล์ของคุณ และพวกเขามาจากแหล่งใดบ้าง ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณปรับแต่งเนื้อหาและคีย์เวิร์ดให้ตรงกับพฤติกรรมการค้นหาของลูกค้ามากขึ้น
นอกจากนี้ การติดตามการมีส่วนร่วม (Engagement) ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนการโทรติดต่อ การขอเส้นทาง การคลิกเข้าชมเว็บไซต์ หรือการดูรูปภาพ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าลูกค้าสนใจข้อมูลส่วนใดของธุรกิจคุณมากที่สุด และควรปรับปรุงส่วนใดเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมให้มากขึ้น
สรุปบทความ
Google My Business เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจในยุคดิจิทัล ที่จะช่วยให้ธุรกิจปรากฏบน Google Search และ Google Maps อย่างมีประสิทธิภาพ การเริ่มต้นใช้งานไม่ยาก เพียงทำตามขั้นตอนการสมัครและตั้งค่าอย่างถูกต้อง แล้วหมั่นอัพเดทข้อมูล สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ และใช้ประโยชน์จากเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล ก็จะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้นหากคุณต้องการความช่วยเหลือในการทำ Google My Business ทีม ADCHARIYA เอเจนซี่การตลาดออนไลน์ ของเราพร้อมให้คำปรึกษาและวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกออนไลน์

Leave a Reply