Custom Audience คืออะไร ธุรกิจออนไลน์ต้องใช้ในปี 2025

การยิงโฆษณาออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพต้องเข้าถึงคนที่มีโอกาสซื้อสินค้าหรือบริการของคุณจริงๆ ADCHARIYA เรารู้ดีว่าเคล็ดลับของความสำเร็จอยู่ที่การกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ ซึ่งเทคนิคที่นักการตลาดมืออาชีพใช้กันคือ Custom Audience ซึ่งเป็นการสร้างกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่คุณสามารถกำหนดเองได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะจากข้อมูลลูกค้าเดิม ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณก็ตาม บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า Custom Audience คืออะไร แตกต่างกับ Lookalike Audience อย่างไร 

Custom Audience คืออะไร

Custom Audience คือการสร้างกลุ่มเป้าหมายโฆษณาที่เฉพาะเจาะจงจากข้อมูลที่คุณมีอยู่แล้ว โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึก (Insight) ของผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณผ่านช่องทางต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ อีเมล โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่หน้าร้าน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาสร้างเป็นฐานข้อมูลสำหรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการยิงโฆษณา ทำให้เข้าถึงคนที่มีโอกาสสนใจและซื้อสินค้าหรือบริการของคุณมากกว่าการยิงโฆษณาแบบกว้าง ๆ

เมื่อเปรียบเทียบกับการยิงโฆษณาแบบทั่วไปที่กำหนดเป้าหมายด้วยข้อมูลพื้นฐานอย่าง เพศ อายุ พื้นที่ การใช้ Custom Audience จะช่วยให้คุณระบุกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำกว่ามาก เพราะเป็นการใช้ข้อมูลจากคนที่เคยสนใจแบรนด์คุณจริง ๆ ส่งผลให้อัตราการคลิก (CTR) สูงขึ้น ต้นทุนต่อคลิก (CPC) ต่ำลง และมีโอกาสปิดการขายได้มากขึ้นนั่นเอง

Custom Audience Facebook คืออะไร

Custom Audience Facebook คือเครื่องมือของ Facebook ที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายโฆษณาที่เฉพาะเจาะจงโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วบน Facebook และจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ คุณสามารถใช้งานผ่าน Facebook Ads Manager โดยจำเป็นต้องมีผู้ที่เข้าข่ายเป็น Custom Audience อย่างน้อย 20 คนขึ้นไป การทำ Custom Audience บน Facebook เปรียบเสมือนการทำ Retargeting เพื่อให้กลุ่มคนที่เคยรู้จักแบรนด์คุณแล้วได้เห็นโฆษณาของคุณซ้ำๆ จนเกิดการตัดสินใจซื้อในที่สุด

การทำ Custom Audience มีประโยชน์อย่างไร

ถ้าคุณเคยรันโฆษณาออนไลน์แล้วรู้สึกว่าเสียเงินไปเยอะแต่ได้ผลน้อย Custom Audience อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา เทคนิคนี้ช่วยให้โฆษณาของคุณไปถึงคนที่น่าจะซื้อสินค้าจริง ๆ แทนที่จะรันโฆษณาแบบสุ่มไปเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดงบแล้ว ยังทำให้ยอดขายดีขึ้นด้วย มาดูกันว่า Custom Audience มีประโยชน์อะไรบ้าง

เข้าถึงคนที่มีโอกาสซื้อสินค้าของคุณจริงๆ

คนที่เคยเข้ามาดูเว็บไซต์คุณ กดไลก์เพจ หรือเคยซื้อสินค้าของคุณมาก่อน มีโอกาสซื้อซ้ำสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า Custom Audience ช่วยให้คุณส่งโฆษณาไปหาคนกลุ่มนี้โดยตรง พวกเขารู้จักแบรนด์คุณอยู่แล้ว แค่อาจต้องการแรงกระตุ้นหรือโปรโมชันพิเศษเพื่อตัดสินใจซื้อสินค้าอีกครั้ง

ประหยัดเงินค่าโฆษณาได้เยอะมาก

ลองคิดดู ถ้าคุณยิงโฆษณาแบบกว้าง ๆ โดยเลือกแค่เพศ อายุ และพื้นที่ คนที่เห็นโฆษณาคุณอาจไม่สนใจสินค้าของคุณเลยก็ได้ แต่ถ้าคุณใช้ Custom Audience คุณจะใช้เงินไปกับคนที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าของคุณมากกว่า ทำให้งบโฆษณาทุกบาทคุ้มค่ากว่าเดิมหลายเท่า

ทำโฆษณาที่ตรงใจคนดูมากขึ้น

เมื่อคุณรู้ว่ากำลังคุยกับใคร คุณก็สามารถปรับเนื้อหาโฆษณาให้ตรงใจพวกเขาได้มากขึ้น เช่น ถ้าคุณรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณชอบดูรีวิวก่อนซื้อสินค้า คุณก็อาจทำโฆษณาที่มีการรีวิวจากลูกค้าจริง ๆ หรือถ้าพวกเขามักตัดสินใจซื้อจากโปรโมชัน คุณก็เน้นเรื่องส่วนลดในโฆษณาให้มากขึ้นได้

ช่วยปิดการขายที่ค้างอยู่ได้ดี

หลายคนเข้ามาดูสินค้าในเว็บไซต์คุณ ใส่ตะกร้าแล้ว แต่ไม่ได้กดสั่งซื้อ อาจเพราะลังเลเรื่องราคา รอโปรโมชัน หรือเผลอลืมไป Custom Audience ช่วยให้คุณส่งโฆษณาไปเตือนคนกลุ่มนี้ได้ บางทีแค่เห็นสินค้าที่สนใจอีกครั้ง หรือได้รับข้อเสนอพิเศษ ก็อาจทำให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าที่ค้างอยู่ในตะกร้าได้แล้ว

Custom Audience มีกี่ประเภท

Custom Audience สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็มีข้อดีและข้อควรระวังแตกต่างกันไป นักการตลาดควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์และทรัพยากรที่มีอยู่จะเป็นการดีที่สุด

1. Custom Audience จากรายชื่อลูกค้า

วิธีนี้ใช้ข้อมูลที่คุณมีอยู่แล้ว เช่น อีเมล เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลติดต่อของลูกค้าเก่า โดยคุณต้องอัปโหลดข้อมูลเหล่านี้เข้าระบบเพื่อให้แพลตฟอร์มจับคู่กับผู้ใช้งานบนโซเชียลมีเดีย การใช้ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าหรือใช้บริการของคุณมาแล้ว ซึ่งมีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำสูง ทั้งนี้ คุณต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนนำมาใช้ ไม่ควรซื้อข้อมูลลูกค้าจากแหล่งอื่น และควรใช้เพื่อทำการตลาดเท่านั้น

2. Custom Audience จากเว็บไซต์

ประเภทนี้ใช้ข้อมูลจากคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ โดยต้องติดตั้ง Meta Pixel หรือ Tracking Code อื่น ๆ บนเว็บไซต์ก่อน ระบบจะบันทึกพฤติกรรมของผู้เข้าชม เช่น หน้าที่เข้าดู สินค้าที่ใส่ในตะกร้า หรือการทำธุรกรรมต่าง ๆ วิธีนี้เหมาะมากสำหรับการทำ Retargeting เพื่อดึงคนที่เคยสนใจสินค้าแต่ยังไม่ซื้อให้กลับมาซื้อ เว็บไซต์ของคุณควรมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน และแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่ามีการเก็บข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด

3. Custom Audience จากการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย

วิธีนี้ใช้ข้อมูลจากคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาของคุณบน Social Media เช่น กดไลก์ กดติดตาม แชร์ คอมเมนต์ ดูวิดีโอ หรือเข้าร่วมอีเวนต์ของคุณ วิธีนี้ช่วยให้คุณเข้าถึงคนที่รู้จักแบรนด์คุณอยู่แล้ว และอาจสนใจสินค้าหรือบริการของคุณ เมื่อใช้วิธีนี้ คุณควรใช้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาเคยสนใจ ไม่ควรส่งโฆษณาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมก่อนหน้านี้

4. Custom Audience จากแอปพลิเคชันมือถือ

ประเภทสุดท้ายจะคล้ายกับการใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์ แต่เก็บข้อมูลจากแอปพลิเคชันบนมือถือแทน คุณสามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายจากคนที่ดาวน์โหลดแอปแล้วแต่ยังไม่ได้ใช้งาน คนที่ใช้งานบ่อย หรือคนที่เคยทำธุรกรรมผ่านแอป วิธีนี้เหมาะกับธุรกิจที่มีแอปพลิเคชันของตัวเอง โดยคุณจะต้องติดตั้ง SDK ของแพลตฟอร์มโฆษณานั้น ๆ ในแอปของคุณ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ในการเก็บข้อมูลด้วย

Custom Audience กับ Lookalike Audience ต่างกันอย่างไร

Custom Audience และ Lookalike Audience แตกต่างกันที่เป้าหมายและวิธีการทำงาน โดย Custom Audience คือการใช้ข้อมูลที่คุณมีอยู่แล้ว เช่น รายชื่อลูกค้า อีเมล ผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรือผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับเพจของคุณ เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ เหมาะสำหรับการเข้าถึงลูกค้าเก่าหรือคนที่เคยสนใจแบรนด์คุณมาแล้ว ส่วน Lookalike Audience คือการขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยระบบจะวิเคราะห์ลักษณะของ Custom Audience ที่ประสบความสำเร็จของคุณ แล้วค้นหาคนที่มีลักษณะหรือพฤติกรรมคล้ายกัน แม้พวกเขาจะไม่เคยรู้จักแบรนด์คุณมาก่อนก็ตาม

สรุป

Custom Audience คือกลยุทธ์ที่ทำให้งบประมาณโฆษณาทุกบาทเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเทคนิคที่มีประสิทธิภาพคือการสร้าง Custom Audience แบบลำดับขั้น เริ่มจากกลุ่มผู้ชมวิดีโอเกี่ยวกับสินค้า ต่อด้วยกลุ่มที่เข้าชมเว็บไซต์ และกลุ่มที่เพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ชำระเงิน พร้อมปรับข้อความโฆษณาให้เหมาะกับแต่ละกลุ่ม การใช้เทคนิคนี้สามารถเพิ่มอัตราการปิดการขายได้มากกว่าการโฆษณาแบบทั่วไป 2-3 เท่า และเป็นวิธีการที่ผู้ประกอบการควรนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณาออนไลน์