รู้จัก 8 นามสกุลไฟล์ภาพ แยกความแตกต่าง พร้อมคำแนะนำการใช้

8 นามสกุลไฟล์ภาพที่นักการตลาดต้องหยิบไปใช้งานให้ถูก

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบท่องโลกออนไลน์และเข้าไปใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ประเภทสื่อที่คุณพบได้บ่อยที่สุดคือรูปภาพ (Image) แต่รู้ไหมว่ารูปภาพมีนามสกุลไฟล์อยู่เยอะมาก นามสกุลไฟล์ภาพเป็นเรื่องสำคัญ หากคุณเป็นนักการตลาดออนไลน์ที่ต้องทำการตลาดบนหลากหลายแพลตฟอร์ม เช่น การทำ SEO เว็บไซต์ก็เหมาะกับภาพสกุล WebP หรือถ้าเป็นการยิงโฆษณาออนไลน์ก็จะเหมาะกับภาพสกุล Jpg มากกว่า เป็นต้น เนื่องจากนามสกุลไฟล์ภาพแต่ละประเภท จะเหมาะกับการใช้งานแตกต่างกันไป ADCHARIYA (แอดฉริยะ) จึงจะมาแนะนำ 8 นามสกุลไฟล์ภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดให้คุณทราบกันผ่านบทความนี้เลย

นามสกุลไฟล์ภาพคืออะไร

นามสกุลไฟล์ภาพคือตัวอักษรที่อยู่หลังจุด (.) ในชื่อไฟล์รูปภาพของคุณ ทำหน้าที่บอกให้คอมพิวเตอร์รู้ว่าไฟล์นี้เป็นรูปภาพแบบไหน มีการจัดเก็บข้อมูลอย่างไร และควรใช้โปรแกรมอะไรเปิด เวลาที่คุณคลิกเปิดไฟล์ภาพ คอมพิวเตอร์จะดูที่นามสกุลไฟล์ก่อน แล้วค่อยเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมมาเปิดให้โดยอัตโนมัติ นามสกุลไฟล์ยังบอกด้วยว่าภาพนั้นมีคุณสมบัติพิเศษอะไรบ้าง เช่น สามารถมีพื้นหลังโปร่งใสได้ไหม หรือแสดงภาพเคลื่อนไหวได้หรือเปล่า รวมถึงเรื่องคุณภาพและขนาดของไฟล์ด้วย

  • ช่วยให้คอมพิวเตอร์รู้ว่าไฟล์นี้เป็นรูปภาพและควรใช้โปรแกรมอะไรเปิด
  • บอกลักษณะการเก็บข้อมูลของรูปภาพ ว่ามีการบีบอัดหรือไม่อย่างไร
  • แสดงว่าภาพมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง เช่น โปร่งใส หรือเคลื่อนไหวได้
  • บอกว่าไฟล์ภาพนี้จะใช้งานได้กับโปรแกรมหรืออุปกรณ์อะไรบ้าง
  • มีผลต่อขนาดไฟล์และพื้นที่ที่ใช้เก็บรูปภาพของคุณ

8 นามสกุลไฟล์ภาพ พร้อมคำแนะนำในการใช้งาน

การเลือกนามสกุลไฟล์ภาพให้เหมาะสมกับการใช้งาน มีผลอย่างมากต่อคุณภาพและประสิทธิภาพในการแสดงผล ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบ เว็บไซต์ หรือภาพบนในโซเชียลมีเดีย นามสกุลไฟล์แต่ละประเภทมีจุดเด่นและข้อจำกัดต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณใช้งานได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ประหยัดพื้นที่จัดเก็บ และทำให้งานของคุณมีคุณภาพดีที่สุด

1. JPEG , JPG (.jpg)

JPEG เป็นไฟล์ภาพที่คุณเจอบ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน เวลาถ่ายรูปด้วยมือถือหรือกล้อง ภาพที่ได้มักเป็นไฟล์ JPG โดยอัตโนมัติ สิ่งที่ทำให้ไฟล์นี้ได้รับความนิยมคือการบีบขนาดให้เล็กลงโดยตัดรายละเอียดบางอย่างที่ตามองไม่เห็นทิ้งไป ทำให้ประหยัดพื้นที่เก็บข้อมูลและส่งแชร์ได้ง่าย แต่ข้อควรระวังคือเมื่อแก้ไขและบันทึกซ้ำหลายรอบ คุณภาพจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ และที่สำคัญไฟล์นี้ไม่สามารถทำพื้นหลังโปร่งใสได้

งานที่เหมาะกับภาพที่มีนามสกุล .jpg

  • รูปถ่ายที่ต้องการแชร์บนโซเชียลมีเดีย
  • ภาพส่งอีเมลที่ต้องการให้โหลดเร็ว
  • ภาพสำหรับปริ้นท์ในเอกสารหรือนิตยสาร
  • รูปภาพที่ต้องการเก็บจำนวนมาก ๆ โดยประหยัดพื้นที่
  • ภาพสวย ๆ ที่มีการไล่เฉดสีหลากหลาย
  • รูปสำหรับงานนำเสนอที่มีภาพเยอะ
  • ภาพถ่ายสินค้าหรือสถานที่สำหรับใช้ในงานโฆษณา

2. PNG (.png)

PNG เป็นไฟล์ภาพคุณภาพสูงที่ทำพื้นหลังโปร่งใสได้ ทำให้คุณวางภาพทับบนพื้นหลังอื่นได้อย่างไหลลื่น ต่างจาก JPG ตรงที่ PNG เก็บข้อมูลแบบไม่ตัดทิ้ง แม้จะบันทึกซ้ำหลายครั้งคุณภาพก็ไม่ลดลง โดยเฉพาะภาพที่มีเส้นคมชัด ตัวหนังสือ หรือสีพื้นไม่ไล่เฉด จะเก็บรายละเอียดได้ดีมาก แต่ข้อเสียคือไฟล์ใหญ่กว่า JPG ค่อนข้างมาก ทำให้โหลดช้ากว่าเมื่อใช้บนเว็บไซต์ โดยเฉพาะถ้าเป็นภาพถ่ายขนาดใหญ่

งานที่เหมาะกับภาพที่มีนามสกุล .png

  • โลโก้บริษัทหรือแบรนด์ที่ต้องวางบนพื้นหลังหลายแบบ
  • ไอคอนหรือปุ่มต่าง ๆ บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
  • ภาพกราฟิกที่มีตัวหนังสือและเส้นคมชัด
  • ภาพตัดต่อที่ต้องแยกองค์ประกอบออกจากพื้นหลัง
  • แผนภูมิ กราฟ หรืออินโฟกราฟิกที่มีตัวเลขและเส้นสี
  • ภาพวาดการ์ตูนหรือภาพลายเส้นที่ไม่ค่อยมีการไล่เฉดสี
  • ภาพสินค้าที่ต้องตัดพื้นหลังออกเพื่อวางบนเว็บขายของ
  • ภาพสกรีนช็อตจากโปรแกรมหรือเว็บที่มีข้อความเยอะ

3. WebP (.webp)

WebP เป็นรูปแบบไฟล์ภาพรุ่นใหม่ที่พัฒนาโดย Google เพื่อแก้ปัญหาของทั้ง JPG และ PNG ในคราวเดียว ไฟล์ WebP สามารถบีบอัดได้ทั้งแบบสูญเสียและไม่สูญเสียข้อมูล ให้ขนาดไฟล์เล็กกว่า JPG ประมาณ 30% แต่ยังคงคุณภาพใกล้เคียงกัน และยังสามารถทำพื้นหลังโปร่งใสได้เหมือน PNG แต่ขนาดเล็กกว่ามาก ข้อดีอีกประการคือรองรับการทำภาพเคลื่อนไหวได้ ข้อเสียหลักคือโปรแกรมและอุปกรณ์เก่าอาจเปิดไฟล์นี้ไม่ได้ แม้ว่าปัจจุบันเบราว์เซอร์ส่วนใหญ่จะรองรับแล้ว

งานที่เหมาะกับภาพที่มีนามสกุล .webp

  • เว็บไซต์ที่ทำ SEO และต้องการให้เว็บโหลดเร็วเป็นพิเศษ
  • แอปพลิเคชันบนมือถือที่ต้องประหยัดพื้นที่และแบนด์วิดธ์
  • ร้านค้าออนไลน์ที่มีรูปสินค้าจำนวนมาก
  • เว็บไซต์ที่ใช้ภาพพื้นหลังโปร่งใสแต่ต้องการไฟล์ขนาดเล็ก
  • อีคอมเมิร์ซที่ต้องการเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้า
  • บล็อกหรือเว็บข่าวที่มีรูปภาพจำนวนมาก
  • แพลตฟอร์มที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูล
  • ภาพเคลื่อนไหวแบบสั้น ๆ ทดแทนการใช้ GIF

4. RAW (.raw)

RAW ไม่ใช่ไฟล์ภาพทั่วไป แต่เป็นข้อมูลดิบที่บันทึกตรงจากเซ็นเซอร์ของกล้องถ่ายรูป ยังไม่ผ่านการประมวลผลหรือบีบอัดใด ๆ เปรียบเสมือนเนกาทีฟในกล้องฟิล์ม ที่ต้องนำไปล้างและปรับแต่งอีกที ไฟล์ RAW เก็บข้อมูลทุกอย่างที่เซ็นเซอร์จับได้ ทั้งแสง สี และรายละเอียด ทำให้ช่างภาพสามารถแก้ไขภาพในภายหลังได้อย่างอิสระ แลกมาด้วยไฟล์ที่มีขนาดใหญ่มาก และต้องใช้โปรแกรมเฉพาะในการเปิดหรือแก้ไข

งานที่เหมาะกับภาพที่มีนามสกุล .raw

  • การถ่ายภาพระดับมืออาชีพที่ต้องแก้ไขรายละเอียดมาก
  • งานถ่ายภาพในสภาพแสงยาก เช่น แสงน้อยหรือแสงจัด
  • งานถ่ายแฟชั่นหรือสินค้าที่ต้องปรับแต่งสีอย่างละเอียด
  • ภาพบุคคลหรือภาพทิวทัศน์สำหรับพิมพ์ขนาดใหญ่
  • งานที่ต้องปรับแสงเงาหรือกู้รายละเอียดในภาพ
  • งานถ่ายภาพเพื่อเก็บเป็นต้นฉบับคุณภาพสูง
  • การถ่ายภาพที่อาจต้องเปลี่ยนโทนสีหรืออารมณ์ภาพในภายหลัง
  • งานศิลปะภาพถ่ายที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่งสูงสุด

5. PSD (.psd)

PSD เป็นรูปแบบไฟล์ของโปรแกรม Photoshop ที่ช่างภาพและนักออกแบบใช้กันบ่อย ไม่ใช่ไฟล์สำหรับโชว์หรือแชร์ให้คนดู แต่เป็นไฟล์สำหรับทำงาน จุดเด่นของ PSD คือแยกเก็บทุกส่วนของงานไว้คนละชั้น ทำให้คุณแก้ไขทีละส่วนได้โดยไม่ยุ่งกับส่วนอื่น เช่น แยกชั้นข้อความ รูปภาพ พื้นหลัง ทำให้ปรับแก้ทีหลังได้สะดวก PSD ยังเก็บเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ที่คุณใส่ไว้ด้วย แบบที่กลับมาแก้ได้ตลอด ข้อเสียคือไฟล์ใหญ่มาก และต้องใช้ Photoshop หรือโปรแกรมที่รองรับเท่านั้นถึงจะเปิดได้

งานที่เหมาะกับภาพที่มีนามสกุล .psd

  • โปรเจกต์ออกแบบที่ยังทำไม่เสร็จและต้องกลับมาแก้ไขอีก
  • งานตัดต่อภาพที่มีหลายขั้นตอนซับซ้อน
  • การออกแบบที่มีหลายเวอร์ชันต้องเก็บไว้เปรียบเทียบ
  • งานแบนเนอร์โฆษณาที่ต้องทำหลายขนาด
  • ไฟล์ต้นฉบับที่ต้องส่งให้ทีมงานคนอื่นแก้ไขต่อ
  • ผลงานออกแบบที่ต้องเก็บเป็นพอร์ตโฟลิโอแสดงขั้นตอนทำงาน
  • งานตกแต่งภาพที่ใช้เทคนิคหลายอย่างซ้อนกัน
  • การรีทัชภาพที่ต้องทำแบบละเอียดและย้อนกลับมาแก้ได้

6. GIF (.gif)

GIF เป็นไฟล์ภาพแบบเก่าที่ยังไม่ตายเพราะทำอะไรได้ที่ไฟล์อื่นทำไม่ได้ นั่นคือสร้างภาพเคลื่อนไหวสั้นๆ  แบบวนซ้ำไปเรื่อย ๆ เหมือนวิดีโอลูป ที่ใช้งานง่ายไม่ต้องกดเล่น GIF มีข้อจำกัดตรงที่แสดงสีได้แค่ 256 สี ทำให้ภาพถ่ายจริงมักดูไม่สวย แต่เหมาะกับภาพการ์ตูนหรือกราฟิกที่มีสีไม่เยอะ ข้อดีคืออุปกรณ์ไหนก็เปิดได้ ทุกเว็บไซต์รองรับ ขนาดไม่ใหญ่นัก ดีสำหรับภาพเคลื่อนไหวแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ถ้าเป็นคลิปที่ยาวหรือซับซ้อน ควรใช้วิดีโอจะดีกว่า

งานที่เหมาะกับภาพที่มีนามสกุล .gif

  • มีมตลก ๆ ที่เห็นแล้วแชร์ต่อในโซเชียล
  • สติกเกอร์เคลื่อนไหวสำหรับแชทกับเพื่อน
  • ภาพสอนใช้งานง่าย ๆ เป็นขั้นตอน
  • ปุ่มเว็บไซต์ที่กะพริบหรือเคลื่อนไหวเพื่อดึงความสนใจ
  • อีโมจิเคลื่อนไหวแสดงอารมณ์
  • โลโก้ที่มีการเคลื่อนไหวแบบง่าย ๆ
  • ไอคอนหรือลูกศรที่แสดงทิศทางหรือขั้นตอน
  • ภาพกราฟิกง่าย ๆ ที่ต้องเคลื่อนไหวซ้ำไปมา

7. SVG (.svg)

SVG เป็นไฟล์ภาพแบบพิเศษที่ต่างจากไฟล์ภาพทั่วไป เพราะไม่ได้เก็บข้อมูลเป็นพิกเซล แต่เก็บเป็นคำสั่งทางคณิตศาสตร์ที่บอกว่าควรวาดเส้นและรูปร่างอย่างไร จุดเด่นคือคุณสามารถย่อหรือขยายภาพได้ไม่จำกัด โดยไม่แตกหรือเบลอ เหมือนที่คุณซูมแผนที่ Google Maps ได้ไม่จำกัด SVG ยังมีขนาดไฟล์เล็ก (ถ้าภาพไม่ซับซ้อนมาก) สามารถใส่โค้ดเพื่อทำให้ภาพเคลื่อนไหวหรือโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ และแก้ไขได้ง่ายด้วยโปรแกรมเวกเตอร์หรือแม้แต่โปรแกรมแก้ไขข้อความธรรมดา

งานที่เหมาะกับภาพที่มีนามสกุล .svg

  • โลโก้บริษัทที่ต้องใช้หลายขนาดตั้งแต่นามบัตรจนถึงป้ายโฆษณา
  • ไอคอนบนเว็บไซต์ที่ต้องแสดงผลได้ดีทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์
  • กราฟและแผนภูมิที่ต้องการความคมชัดและโต้ตอบกับผู้ใช้
  • ภาพประกอบแบบเรียบง่ายที่เน้นเส้นและรูปทรง
  • แผนที่ออนไลน์ที่ต้องการซูมได้ไม่จำกัด
  • การ์ตูนหรือภาพประกอบที่มีลายเส้นชัดเจน
  • อินโฟกราฟิกที่มีองค์ประกอบหลายชิ้น
  • ปุ่มและองค์ประกอบเว็บที่มีการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนสี

8. TIFF (.tif)

TIFF เป็นรูปแบบไฟล์คุณภาพสูงที่นักพิมพ์มืออาชีพและช่างภาพมักใช้ เพราะเก็บข้อมูลแบบครบถ้วนโดยไม่บีบอัดหรือตัดทิ้ง ทำให้ไฟล์มีขนาดใหญ่มากแต่คุณภาพสูง TIFF สามารถเก็บข้อมูลแบบหลายเลเยอร์ได้คล้าย PSD และรองรับการเก็บข้อมูลสีที่ละเอียดกว่าไฟล์ทั่วไป ทั้งยังเก็บข้อมูลความโปร่งใสได้ด้วย ส่วนใหญ่นิยมใช้ในวงการพิมพ์ ถ่ายภาพมืออาชีพ และงานสแกนเอกสารสำคัญที่ต้องการคุณภาพสูงสุด แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานบนเว็บเพราะไฟล์ใหญ่มาก

งานที่เหมาะกับภาพที่มีนามสกุล .tif

  • การพิมพ์นิตยสารหรือหนังสือที่ต้องการความคมชัดสูง
  • แค็ตตาล็อกสินค้าหรือโบรชัวร์คุณภาพดี
  • พิมพ์ภาพถ่ายขนาดใหญ่หรือภาพศิลปะ
  • การสแกนเอกสารสำคัญหรือภาพประวัติศาสตร์
  • งานเก็บถ่ายเอกสารระยะยาวที่ต้องการความคงทน
  • ภาพที่ต้องการปรับแต่งหลายรอบโดยไม่เสียคุณภาพ
  • งานพิมพ์ที่ต้องการควบคุมสีอย่างแม่นยำ
  • การจัดเก็บภาพต้นฉบับสำหรับงานพิมพ์หรืองานถ่ายภาพมืออาชีพ

สรุป

การเข้าใจเรื่องนามสกุลไฟล์ภาพกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่ทำงานกับสายงานการตลาดออนไลน์ไปซะแล้ว เพราะไฟล์ภาพแต่ละนามสกุลมีความแตกต่างทั้งเรื่องคุณภาพ ขนาดไฟล์ และคุณสมบัติพิเศษ การเลือกใช้ไฟล์ภาพให้เหมาะกับงานช่วยให้คุณได้ภาพที่สวยงาม มีขนาดพอดี และทำงานได้ดีบนทุกแพลตฟอร์ม ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้นามสกุลไฟล์ภาพได้ถูกต้องตามความต้องการและลักษณะงานของคุณมากที่สุด