Author: ลียา จากแอดฉริยะ

เคยสังเกตตัวเองไหมว่าทำไมถึงอยากลองร้านอาหารที่กำลังเป็นกระแส หรืออยากซื้อของตามรีวิว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยอยากได้มาก่อนเลย? สิ่งนี้คือพฤติกรรมที่เรียกว่า “เออ-ออ” เพราะคล้อยตามกับรีวิวที่เพิ่งรับชมและรับฟังไป พฤติกรรมนี้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมากจนเป็นปรากฏการณ์ ทำให้เกิดเทรนด์การตลาดใหม่ขึ้นมาหรือ ER-OR Marketing คือการตลาดที่อาศัยพลังการคล้อยตามของผู้บริโภคนั่นเอง ADCHARIYA จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าทำไมคนไทยถึงชอบ “เออ-ออ” พร้อมเจาะลึกเรื่องที่คนมักจะคล้อยตามมากที่สุด พร้อมแนะนำกลยุทธ์ที่จะช่วยให้แบรนด์ใช้ประโยชน์จากกระแสนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ER-OR Marketing คืออะไร ER-OR Marketing คือปรากฏการณ์ทางการตลาดที่สะท้อนพฤติกรรมการคล้อยตามของผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งมักตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการตามกระแสและความนิยมของคนรอบข้าง โดยเฉพาะอิทธิพลจากสื่อสังคม (Social Media) อาทิ TikTok, Facebook, Instagram, YouTube ฯลฯ ที่ทำให้การแชร์ข้อมูลและรีวิวต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกคล้อยตามอย่างง่ายดาย และใช้เวลาตัดสินใจซื้อหรือเข้าไปรับบริการสั้นลงกว่าเมื่อก่อน จนทำให้เกิดเป็นเทรนด์การตลาดรูปแบบใหม่คือ ER-OR Marketing หรือการตลาดแบบเออ-ออนั่นเอง จากผลการวิจัย “ER-OR Marketing : การตลาดแบบเออ-ออ พฤติกรรมตามกระแสของคนไทยในปัจจุบัน”โดยผศ. ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU)…

ในช่วงปีที่ผ่านมามีคนรีวิวและบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการหารายได้จาก TikTok บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ จำนวนมาก ทำให้หลาย ๆ คนสงสัยว่าเราสามารถสร้างรายได้จาก TikTok ได้จริงเหรอ? ADCHARIYA ขอตอบว่า “จริง” เพราะตอนนี้ TikTok ได้ปรับตัวให้ตัวเองเป็นมากกว่าแพลตฟอร์ม Social Media ธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์ม E-Commerce เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมยังเปิดโอกาสให้โพสต์คอนเทนต์ได้หลากหลายรูปแบบ จึงทำให้ TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มในการหารายได้เสริมของใครหลาย ๆ คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาหาคำตอบกันว่าคุณจะหารายได้จากติ๊กต๊อกได้อย่างไร จำเป็นไหมที่จะต้องเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างจริงจัง พร้อมแชร์เทคนิคปั้นช่อง TikTok เรียก Engagement เพิ่มยอด Follow ในปี 2025 TikTok คืออะไร ใช้สร้างรายได้ได้จริงเหรอ TikTok คือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนวิดีโอสั้นให้กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้ที่น่าสนใจ ด้วยฐานผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก ใน 40 ประเทศ TikTok โดดเด่นด้วยการนำเสนอคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เต้น เล่นตลก…

ประโยคที่ว่า “แบรนด์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” เป็นเรื่องจริง เพราะในตอนนี้แบรนด์คนไทยหลากหลายแบรนด์เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมไปทั่วโลก ด้วยจุดเด่นและเอกลักษณ์ในผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจและช่องทางที่ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย ทำให้แบรนด์ไทยมากมายดังไกลระดับโลก จนถึงขั้นที่มีชาวต่างชาติแห่กันเข้ามาอุดหนุนในประเทศไทยเลยทีเดียว แล้วแบรนด์เหล่านี้จะมีแบรนด์ไหนกันบ้างนะ? มาทำความรู้จัก 10 แบรนด์ไทยที่โกอินเตอร์ พร้อมกลยุทธ์การตลาดที่พวกเขาเลือกใช้กันกับ ADCHARIYA กันเลย 1. Red Bull Red Bull (กระทิงแดง) แบรนด์ไทยชั้นนำที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่สามารถสร้างแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังให้ก้าวไกลสู่ระดับโลกได้ ก่อตั้งโดยนายเฉลียว อยู่วิทยา ในปี 2505 เริ่มต้นจากการเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังสำหรับนักมวย ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ – หวานอมเปรี้ยว ผสมผสานกับความซ่าและปริมาณคาเฟอีนที่พอเหมาะ ทำให้ Red Bull กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว สัญลักษณ์กระทิงแดงสองตัวชนกันได้กลายเป็นไอคอนที่จดจำง่ายและสื่อถึงพลังความแข็งแกร่ง Red Bull สร้างความแตกต่างด้วยการผูกโยงแบรนด์เข้ากับกีฬาและกิจกรรมที่ท้าทาย สร้างภาพลักษณ์ของความตื่นเต้นและความกล้า กลยุทธ์การตลาดของ Red Bull 2. Sriracha Sriracha หรือซอสพริกศรีราชาเป็นตัวอย่างความสำเร็จของผลิตภัณฑ์อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล มีจุดกำเนิดจากอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เผ็ดกำลังดี ผสมผสานความกลมกล่อมที่ลงตัว ทำให้ซอสพริกศรีราชาสามารถเข้ากันได้ดีกับอาหารทุกประเภท รวมถึงความพิถีพิถันในการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพสูง…

ทั้งการตลาดและการกีฬาต่างเป็นสิ่งที่ทรงพลังทั้งคู่ เมื่อทำมารวมกันแล้วจึงมีประสิทธิภาพสูงและสามารถสร้างผลลัพธ์ให้กับแบรนด์ได้ในระยะยาว การตลาดทางการกีฬาหรือ Sport Marketing อีกหนึ่งกลยุทธ์การตลาดที่น่าสนใจในปี 2025 ซึ่งเราเชื่อว่าคนที่เป็นแฟนกีฬาคงจะเคยเห็นการร่วมมือระหว่างแบรนด์ดังกับทีมกีฬาระดับโลกมาก่อน นอกจากจะทำให้แฟนกีฬาจำแบรนด์ที่สนับสนุนทีมที่ตัวเองชื่นชอบได้แล้ว ยังกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากอุดหนุนสินค้ากับแบรนด์ดังกล่าวอีกด้วย ADCHARIYA จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Sport Marketing พร้อมแนบตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ ผ่านบทความนี้ Sport Marketing คืออะไร Sport Marketing คือกลยุทธ์การตลาดทางการกีฬาที่มุ่งเน้นการใช้กิจกรรมและการแข่งขันกีฬาเป็นสื่อกลางในการสร้างการรับรู้แบรนด์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนทีมกีฬา การเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขัน หรือการร่วมมือกับนักกีฬาที่มีชื่อเสียง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในวงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่ทีมลิเวอร์พูลสามารถสร้างรายได้มหาศาลจากการทำการตลาดผ่านสินค้าที่ระลึก ลิขสิทธิ์ และการสนับสนุนจากแบรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลก การทำ Sport Marketing ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างการรับรู้แบรนด์เท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากกีฬามักสร้างความรู้สึกร่วมและความภักดีในกลุ่มแฟน ๆ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้สามารถส่งต่อไปยังแบรนด์ที่สนับสนุนกีฬานั้น ๆ ทำให้เกิดการจดจำและความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาวด้วย กลยุทธ์การตลาดทางการกีฬามีประโยชน์อย่างไร กลยุทธ์การตลาดทางการกีฬา หรือ Sport Marketing เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ด้วยพลังของกีฬาที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมและความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้ชม ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการศึกษาพบว่าผู้ชมกีฬามากกว่า 60% มีมุมมองเชิงบวกต่อแบรนด์ที่สนับสนุนกีฬาและสามารถจดจำแบรนด์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีถึง 55%…

ตอนนี้หลาย ๆ องค์กรได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาช่วยในการทำงานกันบ้างแล้ว เพราะ AI ช่วยให้ขั้นตอนการทำงานง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพที่ดีด้วย บางคนอาจจะคิดว่าถ้าอยากใช้ AI ดี ๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายซื้อแพ็กเกจพรีเมียมเท่านั้น บอกเลยว่าไม่จำเป็น เพราะมี AI ฟรีที่มีคุณภาพดีเยี่ยมให้เลือกใช้งานเพียบ แถมยังตอบโจทย์ทุกสายงานอีกด้วย ADCHARIYA ได้รวบรวมและคัดเลือก 10 เครื่องมือ AI ฟรีมาไว้ให้คุณแล้ว ไปติดตามอ่านและเลือกใช้ AI ให้ตอบโจทย์รูปแบบการทำงานได้เลย 1. Gemini Gemini คือ AI ฟรีที่พัฒนาโดย Google ซึ่งย่อมาจากคำว่า “Google Embodied Machine Intelligence” มีความโดดเด่นในการประมวลผลข้อมูลที่หลากหลายรูปแบบพร้อมกัน ทั้งข้อความ รูปภาพ และเสียง โดย Gemini สามารถเข้าใจบริบทและสร้างการเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเนื้อหา ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล แก้ไขโค้ด หรือตอบคำถามที่ซับซ้อนก็ตาม…

ทิศทางและความชัดเจนของคอนเทนต์ที่เผยแพร่ไปบนเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย (Social Media) มีความสำคัญมาก เพราะมันบ่งบอกตัวตนของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ถ้าคุณอยากให้ผู้บริโภครู้ว่าคุณขายสินค้าอะไร เชี่ยวชาญด้านไหน และมองเห็นแบรนด์คุณเป็นอย่างไร คอนเทนต์ที่คุณนำเสนอนี่เองที่เป็นตัวสะท้อนภาพรวมของแบรนด์ ADCHARIYA อยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับ Content Pillars ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการจัดระเบียบและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคอนเทนต์ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่คุณต้องการ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Content Pillar คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจ พร้อมแนบตัวอย่าง Content Pillar และแนะนำ Content Pillar Strategy ฉบับอัปเดตปี 2025 Content Pillar คืออะไร Content Pillar คือแกนหลักของคอนเทนต์ทั้งหมดที่คุณนำไปเผยแพร่และใช้ในการทำการตลาดออนไลน์ (หนึ่งในกระบวนการทำ Content Marketing ให้มีประสิทธิภาพ) โดย Content Pillars จะมีการแบ่งหมวดหมู่ของคอนเทนต์อย่างชัดเจน ทั้งในด้านของประเภทเนื้อหา รูปแบบของคอนเทนต์ และจุดประสงค์ในการสร้างคอนเทนต์ เพื่อให้คอนเทนต์ทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกันและความสอดคล้องกับเป้าหมายของแบรนด์ จนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ทางธุรกิจต้องการ อาทิ ยอดขาย หรือการสร้าง Brand Awareness เป็นต้น ตัวอย่าง…

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน วิธีทำการตลาดเปลี่ยน แน่นอนว่าเทรนด์แบรนด์ดิ้งหรือ Branding Trends ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งแบรนด์ดิ้งเทรนด์ในปี 2025 นี้ ไม่ได้เน้นไปที่การออกแบบโลโก้แบรนด์สวย ๆ หรือการสร้างโฆษณาที่น่าสนใจเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป แต่จะมีการนึกถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น แสดงตัวตนชัดเจนขึ้น ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีความคิดสร้างสรรค์ และมีความโปร่งใส เพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้บริโภคยุคใหม่มากที่สุด ถ้าไม่อยากตกขบวนไปสู่ความสำเร็จล่ะก็ มาอัปเดต 10 เทรนด์แบรนด์ดิ้ง (Branding Trends) มาแรงในปี 2025 กับ ADCHARIYA กันได้เลย 1. Data-Driven Data-Driven คือเทรนด์การสร้างแบรนด์ที่นำข้อมูลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจในส่วนต่าง ๆ เพราะข้อมูลสามารถบอกได้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค จึงช่วยให้แบรนด์รู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไร ทำให้สามารถวางกลยุทธ์การตลาดและนำเสนอสิ่งที่พวกเขาต้องการได้อย่างแม่นยำ เช่น ยิงโฆษณา Facebook Ads ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง กระตุ้นยอดขายได้อย่างรวดเร็ว หรือการรู้ว่าผู้บริโภคมักจะค้นหาสินค้าด้วยคีย์เวิร์ดคำไหนบน Google จึงนำคีย์เวิร์ดนั้นมาวางแผนเขียนบทความ SEO เพื่อให้ติดอันดับบน Google เป็นต้น 2. Personalized Experiences Personalized Experiences…