landing page คืออะไร

Website Landing Page คืออะไร? พร้อมเทคนิคการออกแบบ

ในโลกที่การแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์ทวีความเข้มข้นขึ้นทุกวัน Landing Page กลายเป็นอาวุธลับที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม จากการศึกษาของ Unbounce พบว่า Landing Page ที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาดสามารถเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate) ได้สูงถึง 25% นอกจากนี้ HubSpot ยังรายงานว่าบริษัทที่มี Landing Page มากกว่า 40 หน้าสามารถสร้างลูกค้าเป้าหมาย (Leads) ได้มากกว่าบริษัทที่มีน้อยกว่า 10 หน้าถึง 12 เท่า ด้วยความสำคัญนี้ การเข้าใจและสามารถออกแบบ Landing Page ที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นทักษะสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจ ทีมการตลาด และผู้บริหารระดับสูงในปัจจุบัน 

หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยยกระดับ Landing Page ของคุณ ADCHARIYA เอเจนซี่การตลาดออนไลน์ พร้อมให้บริการด้วยทีมมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในการสร้าง Landing Page ที่ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างเป็นรูปธรรม มาเริ่มต้นเรียนรู้เทคนิคการสร้าง Landing Page ที่ทรงพลังไปด้วยกันกับบทความนี้

Website Landing Page คืออะไร?

Landing Page คือ หน้าเว็บไซต์ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อรองรับผู้เข้าชมจากแคมเปญการตลาดหรือโฆษณา โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการกระตุ้นให้ผู้เข้าชมทำการกระทำบางอย่าง เช่น การสมัครสมาชิก การซื้อสินค้า หรือการดาวน์โหลดเอกสาร Landing Page จึงเป็นเสมือนประตูด่านแรกที่จะนำผู้เข้าชมไปสู่การเป็นลูกค้าของธุรกิจ ซึ่งในการสร้าง Landing Page ที่มีประสิทธิภาพ 

ความสำคัญของการทำ Landing Page ต่อธุรกิจ

  1. เพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate): Landing Page ที่ออกแบบมาอย่างดีสามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้สูงถึง 25% ซึ่งหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  2. ช่วยในการเก็บข้อมูลลูกค้าเป้าหมาย: Landing Page ที่มีฟอร์มกรอกข้อมูลที่ออกแบบมาอย่างดีสามารถช่วยให้คุณเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพของลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น
  3. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์: Landing Page ที่มีการออกแบบที่สวยงามและมีเนื้อหาที่มีคุณภาพจะช่วยสร้างความประทับใจแรกที่ดีให้กับผู้เยี่ยมชม ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว
  4. ทำให้การวัดผลแคมเปญการตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น: ด้วยการใช้ Google Analytics 4 ร่วมกับ Landing Page คุณสามารถติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เยี่ยมชมได้อย่างละเอียด ทำให้สามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ช่วยให้ธุรกิจสามารถทดสอบและปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้อย่างต่อเนื่อง: Landing Page เปิดโอกาสให้คุณทำ A/B Testing เพื่อหาวิธีการนำเสนอที่ดีที่สุดสำหรับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

ความแตกต่างระหว่าง Landing Page และหน้าเว็บไซต์ทั่วไป

  1. เป้าหมาย: Landing Page มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจง เช่น การกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าหรือการลงทะเบียน ในขณะที่หน้าเว็บไซต์ทั่วไปอาจมีหลายวัตถุประสงค์ เช่น การให้ข้อมูล การสร้างความบันเทิง หรือการนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลาย
  2. การออกแบบ: Landing Page มักจะเรียบง่ายและมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นการกระทำ โดยมีองค์ประกอบที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนหน้าเว็บไซต์ทั่วไปอาจมีองค์ประกอบที่หลากหลายกว่า เช่น เมนูนำทาง แบนเนอร์โฆษณา หรือลิงก์ไปยังหน้าอื่น ๆ
  3. การนำทาง: Landing Page มักจะมีตัวเลือกการนำทางน้อยหรือไม่มีเลย เพื่อไม่ให้ผู้ใช้หลุดออกจากเป้าหมายหลัก ในขณะที่หน้าเว็บไซต์ทั่วไปจะมีเมนูนำทางที่ครอบคลุมทุกส่วนของเว็บไซต์
  4. เนื้อหา: Landing Page มุ่งเน้นไปที่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายเฉพาะ เช่น รายละเอียดของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่กำลังโปรโมท ในขณะที่หน้าเว็บไซต์ทั่วไปอาจมีเนื้อหาที่หลากหลายกว่า เช่น บทความ ข่าวสาร หรือข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท
  5. Call-to-Action (CTA): Landing Page จะมี CTA ที่ชัดเจนและโดดเด่น มักจะมีเพียงหนึ่งหรือสอง CTA หลัก ในขณะที่หน้าเว็บไซต์ทั่วไปอาจมี CTA หลายอันกระจายอยู่ทั่วหน้า

การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถออกแบบและใช้งาน Landing Page ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับกลยุทธ์ทำการตลาดออนไลน์ อื่น ๆ

ประเภทของ Landing Page

การเลือกประเภทของ Landing Page ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ทางการตลาดของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ต่อไปนี้คือประเภทหลัก ๆ ของ Landing Page

  1. Click-through Landing Page: ออกแบบมาเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมและนำผู้ใช้ไปสู่หน้าการทำธุรกรรมหรือการซื้อสินค้า เหมาะสำหรับสินค้าหรือบริการที่ต้องการการอธิบายเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจซื้อ
  2. Lead Generation Landing Page: มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บข้อมูลของผู้สนใจ เช่น อีเมล หรือหมายเลขโทรศัพท์ มักใช้ในการสร้างฐานข้อมูลลูกค้าหรือในธุรกิจที่มีวงจรการขายที่ยาว
  3. Product Landing Page: นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการเฉพาะ พร้อมกระตุ้นให้เกิดการซื้อ เหมาะสำหรับการโปรโมทสินค้าใหม่หรือการทำโปรโมชั่นพิเศษ
  4. Thank You Landing Page: แสดงหลังจากผู้ใช้ทำการกระทำบางอย่างเสร็จสิ้น เช่น การลงทะเบียนหรือการซื้อสินค้า ช่วยสร้างความประทับใจและอาจใช้เพื่อเสนอสินค้าหรือบริการเพิ่มเติม
  5. Splash Page: หน้าแรกที่ผู้ใช้เห็นก่อนเข้าสู่เว็บไซต์หลัก มักใช้สำหรับการประกาศข่าวสำคัญหรือการยืนยันอายุสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่
  6. Squeeze Page: ประเภทของ Lead Generation Page ที่มุ่งเน้นการรวบรวมข้อมูลติดต่อของผู้เยี่ยมชม โดยมักจะมีข้อเสนอพิเศษเพื่อแลกกับข้อมูล
  7. Viral Landing Page: ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการแชร์เนื้อหาผ่านโซเชียลมีเดีย มักใช้ในแคมเปญการตลาดแบบไวรัล

การเลือกประเภทของ Landing Page ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับการทำ Social Media Marketing เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย

8 เทคนิคการออกแบบ Landing Page ช่วยเพิ่มยอดขาย

เทคนิคการออกแบบ landing page

การออกแบบ Landing Page ที่มีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มยอดขายและสร้างความสำเร็จให้กับแคมเปญการตลาดออนไลน์ ต่อไปนี้คือ 8 เทคนิคที่จะช่วยให้ Landing Page ของคุณโดดเด่นและน่าสนใจ

1.Header

ออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย ๆ มีข้อมูลครบถ้วน และแสดงผลตลอดเวลาแม้จะเลื่อนหน้าจอ Header ที่ดีควรประกอบด้วย

  • โลโก้บริษัทที่ชัดเจน เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์
  • เมนูการนำทางที่จำเป็น (แต่ไม่มากเกินไป) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ง่าย
  • ข้อความหลัก (Headline) ที่ดึงดูดความสนใจและสื่อถึงคุณค่าหลักของสินค้าหรือบริการ
  • ปุ่ม Call-to-Action (CTA) ที่โดดเด่น เช่น “ซื้อเลย” หรือ “ลงทะเบียนฟรี”

เคล็ดลับ: ใช้ “Sticky Header” ที่จะติดอยู่ด้านบนของหน้าจอเสมอ แม้ผู้ใช้จะเลื่อนลงมาด้านล่าง ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง CTA ได้ตลอดเวลา

2.Hero

เนื้อหาในส่วนบนสุด ควรใส่ข้อมูลสำคัญ เช่น โปรโมชั่นหรือปุ่ม CTA ให้คลิกเพื่อซื้อสินค้า ส่วน Hero ที่มีประสิทธิภาพควรมี

  • ข้อความหลักที่ชัดเจนและตรงประเด็น สื่อถึงคุณค่าหลักของสินค้าหรือบริการ
  • ข้อความรองที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม อธิบายว่าทำไมผู้ใช้ควรสนใจสินค้าหรือบริการของคุณ
  • รูปภาพหรือวิดีโอที่เกี่ยวข้องและดึงดูดความสนใจ แสดงให้เห็นถึงสินค้าหรือบริการในการใช้งานจริง
  • ปุ่ม CTA ที่โดดเด่นและชัดเจน กระตุ้นให้ผู้ใช้ทำการตัดสินใจ

เคล็ดลับ: ใช้หลักการ “Above the fold” โดยวางข้อมูลสำคัญทั้งหมดในส่วนที่ผู้ใช้เห็นได้ทันทีโดยไม่ต้องเลื่อนหน้าจอ ร่วมกับการใช้ Content Marketing ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ส่วน Hero ของคุณน่าสนใจและดึงดูดผู้ใช้ได้มากขึ้น

3.Social Proof

แสดงรางวัล / Certificate เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้ลูกค้า Social Proof ที่มีประสิทธิภาพอาจรวมถึง

  • โลโก้ของลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์ที่มีชื่อเสียง แสดงให้เห็นว่าบริษัทใหญ่ ๆ ไว้วางใจในสินค้าหรือบริการของคุณ
  • ตัวเลขสถิติที่น่าประทับใจ เช่น จำนวนลูกค้าหรือยอดขาย เพื่อแสดงถึงความนิยมและความสำเร็จ
  • รางวัลหรือการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เพื่อยืนยันคุณภาพของสินค้าหรือบริการ
  • บทวิจารณ์หรือคำรับรองจากลูกค้าที่พึงพอใจ แสดงประสบการณ์จริงจากผู้ใช้

เคล็ดลับ: ใช้ Social Proof ที่เฉพาะเจาะจงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น หากกลุ่มเป้าหมายคือบริษัทขนาดใหญ่ ให้แสดงรายชื่อลูกค้าที่เป็นบริษัทชั้นนำ การใช้ Social Media Marketing อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณรวบรวม Social Proof ได้มากขึ้น

4.Benefits & Advantages

บอกประโยชน์และข้อดีของสินค้าหรือบริการ ให้ลูกค้าเห็นว่าเขาจะได้อะไรถ้าซื้อสินค้านี้ ควรนำเสนอดังนี้

  • ใช้หัวข้อย่อยที่ชัดเจนสำหรับแต่ละประโยชน์ ทำให้ง่ายต่อการอ่านและเข้าใจ
  • ใช้ไอคอนหรือรูปภาพประกอบเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและช่วยในการจดจำ
  • เน้นที่ผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับ ไม่ใช่แค่คุณสมบัติของสินค้า เช่น “ประหยัดเวลาได้ 50%” แทนที่จะเป็น “ทำงานได้เร็วขึ้น”
  • ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงประเด็น หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคที่ยากเกินไป

เคล็ดลับ: ใช้เทคนิค “Problem-Agitate-Solve” โดยระบุปัญหาของลูกค้า ย้ำให้เห็นถึงผลกระทบของปัญหา แล้วนำเสนอสินค้าหรือบริการของคุณเป็นทางออก 

5.Service or Features

บอกรายละเอียดสินค้า บริการและฟีเจอร์ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ดีขึ้น วิธีนำเสนอที่มีประสิทธิภาพ

  • ใช้การแบ่งหมวดหมู่ที่ชัดเจน ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจภาพรวมของสินค้าหรือบริการได้ง่าย
  • ใช้รูปภาพหรือไอคอนประกอบแต่ละฟีเจอร์ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและช่วยในการจดจำ
  • เน้นที่คุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับจากแต่ละฟีเจอร์ ไม่ใช่แค่รายละเอียดทางเทคนิค
  • ใช้การเปรียบเทียบก่อน-หลังเพื่อแสดงความแตกต่างที่ชัดเจน

เคล็ดลับ: ใช้เทคนิค “Feature-Advantage-Benefit” (FAB) ในการนำเสนอแต่ละฟีเจอร์ โดยบอกว่าฟีเจอร์คืออะไร มันทำอะไรได้ และลูกค้าจะได้ประโยชน์อะไร การทำ SEO จะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Landing Page ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหาสำหรับคำหลักที่เกี่ยวข้องกับฟีเจอร์และบริการของคุณ

6.Testimonials

แสดงคำชมจากลูกค้าจริง Review ผลลัพธ์จากการใช้สินค้าหรือบริการ Testimonials ที่มีประสิทธิภาพควรมี

  • ชื่อและรูปภาพของลูกค้าจริง (หากเป็นไปได้) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • ข้อความที่เฉพาะเจาะจงและเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่คำชมทั่วไปที่ดูเหมือนสร้างขึ้น
  • ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น ตัวเลขหรือเปอร์เซ็นต์ที่แสดงถึงความสำเร็จหลังใช้สินค้าหรือบริการ
  • ความหลากหลายของ Testimonials ที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกเกี่ยวข้องกับตัวเอง

เคล็ดลับ: ใช้วิดีโอ Testimonials เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ 

7.FAQ

ตอบคำถามสุดฮิตเกี่ยวกับสินค้าเพื่อลดข้อสงสัยและสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ การทำ FAQ ที่มีประสิทธิภาพควร

  • รวบรวมคำถามที่พบบ่อยจริง ๆ จากลูกค้า ไม่ใช่คำถามที่คุณอยากให้ถาม
  • ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อนเกินไป
  • จัดหมวดหมู่คำถามให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย
  • อัปเดต FAQ อย่างสม่ำเสมอตามคำถามใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น

เคล็ดลับ: ใช้ FAQ เป็นโอกาสในการแก้ไขข้อกังวลที่อาจทำให้ลูกค้าลังเลในการซื้อ และแสดงให้เห็นถึงจุดแข็งของสินค้าหรือบริการของคุณ

8.Call-to-Action

ใส่ปุ่ม CTA ให้คลิกซื้อสินค้าไว้หลาย ๆ จุดในหน้าเว็บ เพื่อกระตุ้นให้ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น การออกแบบ CTA ที่มีประสิทธิภาพควร

  • ใช้สีที่โดดเด่นและแตกต่างจากสีพื้นหลัง เพื่อดึงดูดสายตา
  • ใช้ข้อความที่ชัดเจนและกระตุ้นให้เกิดการกระทำ เช่น “ซื้อเลย” “ลงทะเบียนฟรี” หรือ “เริ่มต้นใช้งานทันที”
  • ออกแบบให้มีขนาดใหญ่พอที่จะสังเกตเห็นได้ง่าย แต่ไม่ใหญ่เกินไปจนรบกวนองค์ประกอบอื่น
  • วางตำแหน่ง CTA ในจุดที่เหมาะสม เช่น หลังจากอธิบายประโยชน์ของสินค้าหรือบริการ

เคล็ดลับ: ทำ A/B Testing เพื่อทดสอบสี ข้อความ และตำแหน่งของ CTA ที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด รวมถึงการใช้กลยุทธ์ Performance Marketing จะช่วยให้คุณวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพของ CTA ได้อย่างต่อเนื่อง

ข้อควรระวังในการสร้าง Landing Page

แม้ว่าการออกแบบ Landing Page ที่มีประสิทธิภาพจะสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมาก แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการที่ควรคำนึงถึง

หลีกเลี่ยงการใส่ข้อมูลมากเกินไป

  • ให้เน้นเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับเป้าหมายของ Landing Page
  • ใช้การออกแบบที่เรียบง่าย ไม่รกรุงรัง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถจดจ่อกับข้อความสำคัญได้
  • แบ่งเนื้อหาเป็นส่วน ๆ ให้อ่านง่าย ใช้หัวข้อย่อยและบุลเล็ตพอยต์เพื่อแบ่งเนื้อหา

ทำให้ Landing Page โหลดเร็ว

  • ใช้รูปภาพที่มีการบีบอัดแล้วเพื่อลดขนาดไฟล์
  • หลีกเลี่ยงการใช้วิดีโอหรือแอนิเมชันที่มีขนาดใหญ่เกินไป
  • ใช้เทคนิค Lazy Loading สำหรับรูปภาพที่อยู่ด้านล่างของหน้า
  • ทดสอบความเร็วในการโหลดด้วยเครื่องมือเช่น Google PageSpeed Insights

ออกแบบให้รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile-Friendly)

  • ใช้ Responsive Design เพื่อให้ Landing Page แสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์
  • ทดสอบการแสดงผลบนอุปกรณ์มือถือหลากหลายรุ่น
  • ปรับขนาดปุ่มและลิงก์ให้ใหญ่พอสำหรับการกดบนหน้าจอสัมผัส
  • ลดความยาวของข้อความสำหรับการแสดงผลบนมือถือ

สรุปบทความ

Landing Page เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดดิจิทัลที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแปลงผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า การออกแบบ Landing Page ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ตั้งแต่การสร้าง Header ที่ดึงดูดความสนใจ การใช้ Hero Section ที่สื่อสารคุณค่าหลักได้ชัดเจน การแสดง Social Proof เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ การนำเสนอประโยชน์และคุณสมบัติของสินค้าหรือบริการอย่างตรงประเด็น การใช้ Testimonials เพื่อสร้างความมั่นใจ การตอบคำถามที่พบบ่อยเพื่อลดข้อสงสัย และการใช้ Call-to-Action ที่โดดเด่นเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

นอกจากนี้ ยังต้องระวังไม่ให้ใส่ข้อมูลมากเกินไป ต้องทำให้หน้าเว็บโหลดเร็ว และต้องออกแบบให้รองรับการใช้งานบนมือถือด้วย การใช้เทคนิคเหล่านี้ร่วมกับการทำ SEO, Content Marketing และ Performance Marketing จะช่วยให้ Landing Page ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้เพิ่มยอดขายและสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจของคุณในโลกดิจิทัล