ธุรกิจ Startup คืออะไร แตกต่างจากธุรกิจ SME อย่างไร

ธุรกิจ Startup คืออะไร แตกต่างจากธุรกิจ SME อย่างไร

ความสำเร็จของ Startup ไทยหลายรายในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากสนใจที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการ Startup คือธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี แตกต่างจาก SME ที่เน้นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ADCHARIYA จะพาคุณไปรู้จักธุรกิจสตาร์ตอัป ให้มากขึ้น พร้อมคลายข้อสงสัยว่าธุรกิจ Startup และ SME มีความแตกต่างกันอย่างไร พร้อมยกตัวอย่าง Startup ไทยที่ประสบความสำเร็จ 

Startup คืออะไร

Startup คืออะไร

Startup คือธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ให้กับตลาด การดำเนินงานของธุรกิจ Startup จะแตกต่างจากธุรกิจทั่วไป โดยจะเน้นความคล่องตัวและรวดเร็ว มีการทดลองไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอ และพร้อมปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจตามความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อค้นหาโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงการมุ่งเน้นการสร้างโมเดลธุรกิจที่สามารถทำซ้ำและขยายขนาดได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการระดมทุนจากนักลงทุนภายนอก เพื่อเร่งการเติบโตให้เร็วที่สุดด้วย ซึ่งผู้ก่อตั้งบริษัท Startup มักมองเห็นปัญหาที่ยังไม่มีใครแก้ไข หรือช่องว่างทางธุรกิจที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้ จึงสร้างสรรค์โซลูชันที่ช่วยให้ชีวิตผู้คนสะดวกสบายมากขึ้น อาทิ แพลตฟอร์มเรียกรถสาธารณะ บริการส่งอาหาร หรือแอปพลิเคชันทางการเงิน เป็นต้น

Startup ต่างจาก SME อย่างไร

แม้ว่า Startup และ SME จะเป็นธุรกิจที่เริ่มต้นจากขนาดเล็ก แต่ทั้งสองธุรกิจมีความแตกต่างกันหลายด้าน ทั้งในด้านเป้าหมาย วิธีการดำเนินงาน และการเติบโตของธุรกิจ สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนเริ่มต้นธุรกิจ การทำความเข้าใจความแตกต่างของธุรกิจ Startup และ SME เหล่านี้จะช่วยให้สามารถเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตนเอง และวางกลยุทธ์การดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะแต่ละรูปแบบมีข้อดีและความท้าทายที่แตกต่างกันนั่นเอง มาดูความแตกต่างของธุรกิจทั้งสองรูปแบบนี้กันเลย

Startup ต่างจาก SME อย่างไร

เป้าหมายและการเติบโต

  • Startup คือธุรกิจที่มีเป้าหมายในการเติบโตแบบก้าวกระโดดในระดับโลก ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี มักมีแผนขยายธุรกิจที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจตามความต้องการของตลาดอยู่เสมอ
  • SME มักตั้งเป้าหมายการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป เน้นการทำกำไรอย่างยั่งยืนในตลาดท้องถิ่นหรือระดับประเทศ การขยายธุรกิจมักเป็นไปตามกำลังการผลิตและความต้องการของตลาดที่มีอยู่เป็นหลัก

โมเดลธุรกิจ

  • Startup ส่วนมากจะพัฒนาโมเดลธุรกิจที่สามารถขยายขนาดได้ง่ายและรวดเร็ว (Scalable) โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมที่แก้ปัญหาในวงกว้างหรือตอบสนองความต้องการของตลาดในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังออกแบบให้สามารถทำซ้ำได้ง่าย (Repeatable) และปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วตามการตอบรับของตลาด
  • SME มักดำเนินธุรกิจในรูปแบบดั้งเดิมที่พิสูจน์แล้วว่าสร้างรายได้ได้อย่างมั่นคง เน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่มีอยู่เดิมให้ดีขึ้น แม้จะมีข้อจำกัดในการขยายขนาดเนื่องจากต้องพึ่งพาทรัพยากรและบุคลากรที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจก็ตาม

การระดมทุน

  • Startup พึ่งพาการระดมทุนจากนักลงทุนภายนอกและกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) เพื่อเร่งการเติบโต โดยแลกกับการแบ่งปันผลตอบแทนและการถือหุ้นในบริษัท การระดมทุนอาจมีหลายรอบ ตั้งแต่ระดับ Seed Funding ไปจนถึง Series A, B, C และอาจนำไปสู่การเข้าตลาดหลักทรัพย์ในที่สุด 
  • SME ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากเงินทุนส่วนตัวหรือการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน มีการบริหารการเงินด้วยกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และมักรักษาความเป็นเจ้าของกิจการไว้ในมือของผู้ก่อตั้งหรือครอบครัว

กลุ่มลูกค้าและการตลาด

  • Startup มุ่งไปที่การสร้างตลาดใหม่หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลและการสร้างแบรนด์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เน้นการเติบโตของฐานผู้ใช้งานอย่างรวดเร็ว บางครั้งอาจเลือกให้บริการฟรีในช่วงแรกเพื่อสร้างฐานผู้ใช้งาน
  • SME เน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายตลาดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ใช้การตลาดแบบดั้งเดิมผสมผสานกับช่องทางออนไลน์ และให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

ความเสี่ยงและผลตอบแทน

  • Startup มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากเป็นการทดลองโมเดลธุรกิจและนวัตกรรมใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน อัตราความล้มเหลวอาจสูงถึง 90% แต่หากประสบความสำเร็จก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนมหาศาล 
  • SME มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าเนื่องจากดำเนินธุรกิจในรูปแบบที่พิสูจน์แล้ว แม้ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่า Startup แต่มีความมั่นคงและสม่ำเสมอมากกว่า

Startup จะเปลี่ยนไปเป็น Enterprise เมื่อไหร่?

Enterprise คือองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง มีระบบการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐาน และมีทรัพยากรทั้งด้านบุคลากรและเงินทุนจำนวนมาก สำหรับคำถามที่ว่า Startup จะเปลี่ยนไปเป็น Enterprise เมื่อไหร่นั้น ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะแต่ละธุรกิจมีการเติบโตและพัฒนาที่แตกต่างกัน บางรายอาจใช้เวลาเพียง 4 ปี ในขณะที่บางรายอาจใช้เวลาถึง 7-10 ปีก็ได้

อย่างไรก็ตาม ก็มีเกณฑ์ “The 50-100-500 Rule” ที่กำหนดโดย Alex Wilhelm สำหรับใช้ในการพิจารณาอยู่ว่าถ้า Startup มีรายได้สุทธิมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์ต่อปี มีพนักงานมากกว่า 100 คน หรือมีมูลค่าบริษัทมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ ก็อาจถือได้ว่าธุรกิจนั้นได้เติบโตเกินกว่าระดับ Startup และก้าวเข้าสู่การเป็น Enterprise แล้ว แต่ก็ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ  ประกอบด้วย เช่น ความมั่นคงของรายได้ ส่วนแบ่งการตลาด และความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการ

ตัวอย่างธุรกิจ Startup ในไทย มีอะไรบ้าง

  • Flash Express บริการขนส่งพัสดุที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการบริหารจัดการ
  • ANGA Mastery แพลตฟอร์มคอร์สเรียนการตลาดออนไลน์ที่รวบรวมความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
  • GetFresh ธุรกิจจัดส่งวัตถุดิบอาหารคุณภาพสูงถึงบ้าน
  • Skootar บริการเรียกมอเตอร์ไซค์รับ-ส่งเอกสารสำหรับธุรกิจ
  • Ricult แพลตฟอร์มที่ช่วยเกษตรกรในการวางแผนและจัดการผลผลิต

เปิด 7 ธุรกิจ Startup ที่น่าสนใจในยุคนี้

  1. แพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัล การศึกษาออนไลน์และการพัฒนาทักษะผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ตอบโจทย์การเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาทักษะใหม่
  2. ธุรกิจรักษ์โลกและความยั่งยืน เพราะตอนนี้ผู้บริโภคให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารจากพืช (Plant-based Food) ที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์
  3. ธุรกิจไบโอเทค ตลาดเทคโนโลยีชีวภาพมีมูลค่าสูงถึง 414 พันล้านดอลลาร์ เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพในระดับ DNA เช่น การทดสอบพันธุกรรม และอุปกรณ์ตรวจวัด DNA ที่สวมใส่ได้
  4. ฟินเทคที่ขับเคลื่อนด้วย AI นวัตกรรมทางการเงินที่นำ AI มาช่วยวิเคราะห์และให้บริการทางการเงิน โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตสูง
  5. เทคโนโลยีการเกษตร (AgTech) นวัตกรรมที่ช่วยยกระดับการทำเกษตรกรรมให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น ตั้งแต่ระบบ IoT สำหรับตรวจสอบสภาพดิน ไปจนถึงซอฟต์แวร์บริหารจัดการฟาร์มอัจฉริยะ
  6. บริการสินค้าเฉพาะบุคคล ธุรกิจที่ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการออกแบบสินค้าตามความต้องการเฉพาะบุคคล ซึ่งสามารถเพิ่มยอดขายได้มากกว่า 10%
  7. แพลตฟอร์ม No Code/Low Code บริการที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด มีอัตราการค้นหาเพิ่มขึ้น 428% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

สรุปบทความ

Startup คือธุรกิจที่ตอบโจทย์กับยุคนี้เป็นอย่างมาก ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดและการเกิดใหม่ของเทคโนโลยีมากมาย เนื่องจากธุรกิจสตาร์ตอัปจะที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ตรงกับความต้องการของตลาดมากที่สุด แม้จะมีความเสี่ยงสูงแต่ก็มีโอกาสเติบโตและสร้างผลตอบแทนมหาศาล เรียกได้ว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน เจ้าของธุรกิจควรเริ่มต้นจากการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี ศึกษาด้านตลาดอย่างลึกซึ้ง สร้างเครือข่ายในวงการ Startup เลือกประเภทธุรกิจที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด และมีผู้บริหารองค์กร (C Level) ในตำแหน่งที่เหมาะสมอย่างเพียงพอด้วย จึงจะมีโอกาสนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ประสบความสำเร็จได้จริง