search engine marketing

กลยุทธ์ครองใจลูกค้า Search Engine Marketing (SEM) คืออะไร

ในยุคดิจิทัล การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายบนโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกประเภทมองหา ซึ่ง Search Engine Marketing หรือ SEM ก็เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพสำหรับการทำธุรกิจในปี 2025 อย่างยิ่ง เพราะ Search Engine Marketing จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ดึงดูดลูกค้า สร้างยอดขาย และเป็นบันไดที่นำไปสู่ความสำเร็จ และ ADCHARIYA ก็จะมาอธิบายให้คุณเข้าใจว่า SEM คืออะไร และกลยุทธ์ที่ควรนำไปใช้ในการทำ SEM มีอะไรบ้าง

Search Engine Marketing หรือ SEM คืออะไร

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing คือกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มุ่งเน้นการเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา (SERP) ของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google, Bing หรือ Yahoo โดยใช้ทั้งวิธีการ “ฟรี” และ “เสียเงิน” ซึ่งการทำ SEM จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบโดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย, ดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มีความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณ, เพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นลูกค้า พร้อมกับสร้างยอดขายและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ 

ในยุคดิจิทัล ผู้คนใช้ Search Engine ค้นหาข้อมูลและสินค้า/บริการต่าง ๆ ดังนั้น SEM จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างการเติบโตทางธุรกิจ และยังได้รับความนิยมอย่างมาก แทบจะทุกธุรกิจล้วนทำการตลาดแบบ SEM ทั้งสิ้น

ธุรกิจที่เหมาะกับการทำ SEM

  • ธุรกิจออนไลน์ : เว็บไซต์ขายสินค้า, เว็บไซต์ให้บริการ, เว็บไซต์ข่าวสาร
  • ธุรกิจออฟไลน์ : ร้านค้า, ร้านอาหาร, สถานที่ท่องเที่ยว
  • ธุรกิจ B2B : บริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับธุรกิจอื่น
  • ธุรกิจ B2C : บริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภคโดยตรง

ประเภทของ SEM (Search Engine Marketing)

SEM หรือ Search Engine Marketing แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้

ประเภทของ SEM

1. Search Engine Optimization (SEO)

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึง กลยุทธ์การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตามอัลกอริทึมของ Search Engine เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนหน้าการค้นหาของ SERP (Search Engine Result Page) โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา

หลักการทำงานของ SEO

หลักการทำงานของ SEO จะประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ๆ คือ Crawling, Indexing และ Ranking

  1. Crawling : Google จะส่งบอท (Spider หรือ Crawler) ไปเก็บข้อมูลเว็บไซต์ เปรียบเสมือนแมงมุมที่ไต่ไปตามลิงก์จากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่ง ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจะถูกนำไปจัดเก็บในดัชนี (Index)
  2. Indexing : Google จะวิเคราะห์เนื้อหา คีย์เวิร์ด และข้อมูลอื่น ๆ ในแต่ละหน้าเว็บไซต์ และเก็บข้อมูลเว็บไซต์ลงในระบบ ขั้นตอนนี้เรียกว่าการจัดทำดัชนี
  3. Ranking : เมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลด้วย Keyword ระบบของ Google จะค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจากดัชนีที่เก็บมา จากนั้นจะจัดอันดับเว็บไซต์ตามอัลกอริทึม

ประเภทของ SEO

  • On-page SEO : การปรับแต่งเนื้อหาและองค์ประกอบภายในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสในการแสดงอันดับต้น ๆ บนหน้าผลการค้นหา เช่น Keyword, Title Tag, Meta Description, Content, Heading tags, Alt text และ Internal Links
  • Off-page SEO : การทำ SEO ภายนอกเว็บไซต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่ม Authority ให้กับเว็บไซต์ของคุณ เช่น การเขียน Guest Blog บนเว็บไซต์อื่น, การแชร์เนื้อหาบน Social Media และการทำ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ
  • Technical SEO : การปรับแต่งโครงสร้างและระบบของเว็บไซต์ เพื่อให้ Search Engine เข้าใจและรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การส่ง Sitemap, เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว, เว็บไซต์ต้องแสดงผลบนมือถือได้, การใส่ Structured Data และการสร้างไฟล์ Robots.txt

2. Pay Per Click (PPC)

Pay Per Click (PPC) หรือ Paid Search เป็นรูปแบบโฆษณาบน Search Engine (เช่น Google, Bing, Yahoo) ที่ผู้โฆษณาจะต้องจ่ายเงินให้กับ Search Engine เมื่อมีผู้ใช้คลิกโฆษณาของตน ซึ่งสามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้รวดเร็ว (โฆษณาจะแสดงต่อผู้ใช้ที่ค้นหาด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้อง), วัดผลลัพธ์ได้ชัดเจน (ติดตามจำนวนคลิก Conversion rate และ ROI ของแคมเปญ), ควบคุมงบประมาณได้ตามต้องการ และมีรูปแบบโฆษณาและ Targeting options หลากหลายแบบ

หลักการทำงานของ PPC

Pay Per Click เป็นรูปแบบโฆษณาออนไลน์ที่ผู้โฆษณา “จ่ายเงิน” เฉพาะเมื่อมีผู้ใช้คลิกโฆษณาของตนเท่านั้น ถ้ามองเห็นโฆษณาแต่ไม่คลิกก็จะไม่ต้องจ่ายเงิน

  1. ผู้ลงโฆษณา : เลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สินค้า หรือบริการ, ตั้งค่าแคมเปญ โดยกำหนดราคาเสนอ (Bid) งบประมาณ และ Targeting Options, เขียนข้อความโฆษณาที่ดึงดูดใจ และสร้างโฆษณา
  2. แพลตฟอร์มโฆษณา (Google) : เมื่อมีผู้ใช้ค้นหาด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้อง Search Engine จะทำการประมูลโฆษณา และแสดงโฆษณาของผู้ชนะประมูลบนหน้าผลการค้นหา (SERP)
  3. ผู้ใช้ (User) : ผู้ใช้ที่สนใจสินค้าจะคลิกที่โฆษณาที่ปรากฏ และจะถูกนำไปยังเว็บไซต์ของผู้โฆษณา
  4. ผู้ลงโฆษณา : จ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มโฆษณาตามจำนวนคลิกที่เกิดขึ้น

ประเภทของ PPC

  • Search Ads : โฆษณาจะแสดงบนหน้าผลการค้นหาของ Google ตอนที่คนค้นหา Keyword นั้น ๆ (Google Ads)
  • Display Ads : โฆษณาจะแสดงบนเว็บไซต์ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Display Network (รูปแบบโฆษณา : Text ads, Banner ads, Video ads)
  • Shopping Ads : โฆษณาจะแสดงสินค้าพร้อมรูปภาพ ราคา และข้อมูลอื่น ๆ ซึ่งผู้ใช้สามารถคลิกโฆษณาเพื่อดูรายละเอียดสินค้า เปรียบเทียบราคา และซื้อสินค้าได้เลย
  • Video Ads : โฆษณาจะแสดงบน YouTube และเว็บไซต์อื่น ๆ (รูปแบบโฆษณา : In-stream ads, Bumper ads, Masthead ads)

ประโยชน์และความสำคัญของการทำ SEM

  • เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย : SEM ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าแรกของ Search Engine ซึ่งเป็นช่องทางที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณใช้ค้นหาข้อมูล
  • เพิ่มยอดขาย : SEM ช่วยดึงดูดลูกค้าเป้าหมายที่มีความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณ เข้าชมเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการซื้อ
  • สร้างการรับรู้แบรนด์ : SEM ช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักและจดจำ
  • เพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์ : SEM ช่วยดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น
  • ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง : SEM ช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นเหนือคู่แข่งบนโลกออนไลน์

เปิดกลยุทธ์การทำ SEM ให้คุณโดดเด่นที่สุดในปี 2025

การทำ SEM เป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นขึ้นและมียอดขายสูงขึ้นตามที่ต้องการ แต่จะเป็นไปได้ยากหากคุณไม่รู้จักวางกลยุทธ์การทำ SEM ให้ดีก่อนลงมือทำ และในวันนี้ ADCHARIYA ก็นำกลยุทธ์การทำ SEM มาฝากกัน ทั้งในส่วนของ SEO และ PPC เลย จะเป็นอย่างไรบ้าง เราไปชมกันเลย!

กลยุทธ์การทำ SEO 

  • กำหนดเป้าหมาย : คุณต้องการเพิ่มการมองเห็นบนโลกออนไลน์, เพิ่มยอดขาย หรือสร้างการรับรู้
  • วิเคราะห์คู่แข่ง : ศึกษาว่าคู่แข่งของคุณทำ SEO อย่างไร เว็บไซต์เป็นอย่างไร และใช้ Keyword อะไร
  • ค้นหา Keyword : เลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณและมีผู้คนค้นหามาก
  • ปรับแต่งเว็บไซต์ : Optimize เว็บไซต์ของคุณให้เป็น SEO friendly และตรงตามอัลกอริทึม
  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ : เขียนเนื้อหา Informative และ Engaging ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
  • สร้าง Backlinks : หาวิธีสร้าง Backlinks จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ
  • ติดตามผลลัพธ์ : วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับแต่งกลยุทธ์ SEO ของคุณเป็นระยะ

กลยุทธ์การทำ PPC

  • กำหนดเป้าหมายว่าต้องการเพิ่ม Traffic, Conversion rate หรือสร้างการรับรู้แบรนด์
  • เลือก Keyword ที่มีราคาเสนอเหมาะสม และเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
  • ตั้งค่าแคมเปญ กำหนดราคาเสนอ (Bid), กำหนดงบประมาณ และ Targeting options
  • เขียนข้อความโฆษณาที่ดึงดูดใจ ใส่ Call to Action ที่ชัดเจน และทดสอบโฆษณาหลาย ๆ แบบ
  • ติดตามผลลัพธ์และวิเคราะห์ CTR, Conversion rate และ ROI
  • ใช้ Keyword Match Type ช่วยให้โฆษณาของคุณแสดงต่อผู้ใช้ที่สนใจ และประหยัดงบประมาณ
  • Negative Keyword ที่ไม่ต้องการให้โฆษณาแสดงออกไป
  • เพิ่ม Ad Extensions และทำ Remarketing

สรุปบทความ

SEM คือ การทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา เพื่อเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณบน Search Engine รวมถึง Traffic, Conversion rate, Brand awareness และเพิ่ม Lead ด้วยเช่นกัน โดย SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ SEO (การทำแบบ Organic ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา) และ PPC (การเสียเงินซื้อโฆษณา) ซึ่งคุณสามารถนำกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เราได้แนะนำกันไปในบทความนี้ไปปรับใช้ได้เลย

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *