ในทุกวันนี้ การตลาดออนไลน์กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต SEM หรือ Search Engine Marketing คือกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏบนหน้าแรกของ Search Engine ดึงดูดลูกค้าใหม่ และเพิ่มยอดขายอย่างรวดเร็ว
บทความนี้จะพาคุณไปไขความลับของ SEM อธิบายว่า SEM คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร แบ่งประเภท SEM ออกเป็นกี่ประเภท มีเทคนิค SEM อะไรบ้างที่ใช้ได้ผลในปี 2025 และยกตัวอย่าง Case Study ของเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จจากการทำ SEM มาฝากกันด้วย!
มาทำความรู้จัก SEM คืออะไร ?
SEM ย่อมาจาก “Search Engine Marketing” หมายถึง กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ใช้ Search Engine อย่าง Google, Bing หรือ Yahoo ในการดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยเป้าหมายหลักของการทำ SEM คือ การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Traffic) เพิ่มยอดขาย และสร้าง Conversion
ประเภทของ SEM มีอะไรบ้าง?
SEM สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้
1. Paid Search
Paid Search หรือ Search Advertising หมายถึงการซื้อโฆษณาบน Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณไปแสดงผลบนหน้าผลการค้นหาในตำแหน่งที่โดดเด่นและมองเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อผู้ใช้คลิกที่โฆษณา ผู้ลงโฆษณาจะต้องจ่ายเงินให้กับ Search Engine ซึ่งบางคนอาจจะรู้จัก Paid Search ในชื่ออื่นอย่าง PPC (Pay Per Click) ได้ ทั้งนี้ บางแหล่งข้อมูลอาจจะเรียกแทน PPC ว่าเป็น SEM เลยก็ได้ โดยที่ไม่ได้มี SEO รวมอยู่ในการทำ SEM แต่อย่างใด
ประเภทของโฆษณา Paid Search
- Text Ads : โฆษณาแบบข้อความที่แสดงผลบนหน้าผลการค้นหา
- Image Ads : โฆษณารูปภาพที่แสดงผลบนหน้าผลการค้นหา
- Video Ads : โฆษณาวิดีโอที่แสดงผลบนหน้าผลการค้นหา
- Shopping Ads : โฆษณาสินค้าที่แสดงผลบนหน้าผลการค้นหา
2. Organic Search
Organic Search หรือ Search Engine Optimization (SEO) หมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณให้มีอันดับดีขึ้นในหน้าผลการค้นหาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการยิงโฆษณา
เทคนิค SEO ที่เราอยากแนะนำ
- การใช้คีย์เวิร์ด : ใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในหัวข้อบทความ เนื้อหา Title Tag และ Meta Description
- เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ : เนื้อหาควรมีคุณภาพ น่าสนใจ ตรงประเด็น และอ่านง่าย
- สร้าง Backlink : Backlink คือ ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ การมี Backlink ที่ดีและมีคุณภาพจะช่วยเพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาได้
- ใช้ Social Media : โปรโมตเว็บไซต์ของคุณบน Social Media ต่าง ๆ เช่น Facebook, X (Twitter), Instagram, LinkedIn, YouTube
สรุปว่า SEM แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ Paid Search และ Organic Search โดย Paid Search ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลบนหน้าผลการค้นหาโดยไม่ต้องรอเวลา แต่ต้องเสียค่าโฆษณา ส่วน Organic Search จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับดีขึ้นในหน้าผลการค้นหาโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา แต่ต้องใช้เวลาและความพยายามมากเสียหน่อย
สรุปเปรียบเทียบ Paid Search กับ Organic Search

ทำการตลาดผ่าน SEM สำคัญต่อการทำธุรกิจแค่ไหน
การตลาดผ่าน SEM (Search Engine Marketing) เหมาะกับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ ธุรกิจออนไลน์หรือธุรกิจแบบดั้งเดิม การทำ SEM สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณบรรลุเป้าหมายทางการตลาดได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งมีความสำคัญต่อธุรกิจในหลาย ๆ แง่มุม ดังนี้
- เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย : SEM ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าแรกของ Search Engine เมื่อลูกค้าเป้าหมายค้นหาสินค้าหรือบริการของคุณ ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่ม เพิ่มโอกาสในการขายได้
- เพิ่มยอดขาย : การเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น ย่อมนำไปสู่โอกาสในการขายที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่ง SEM ช่วยดึงดูดลูกค้าที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการของคุณอยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสปิดการขายได้สูงขึ้น
- สร้างแบรนด์ : SEM ช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักและเกิดการจดจำ เมื่อลูกค้าเห็นเว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าแรกของ Search Engine อยู่บ่อย ๆ จะสร้างความน่าเชื่อถือและจดจำแบรนด์ของคุณได้ไม่ยาก
- เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ : SEM ช่วยดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ส่งผลดีต่อ SEO (Search Engine Optimization) และช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับดีขึ้นในหน้าผลการค้นหา
- วัดผลได้ : SEM ช่วยให้คุณสามารถติดตามผลลัพธ์ วิเคราะห์ข้อมูล และวัดผล ROI (Return on Investment) ได้ ช่วยให้คุณตัดสินใจและปรับกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- คู่แข่งของคุณก็ทำ : ในปัจจุบัน ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้ SEM ในการทำการตลาด หากคุณไม่ใช้ SEM ธุรกิจของคุณอาจเสียเปรียบคู่แข่งได้
เทคนิคการทำ SEM ที่ใช้ได้ผลในปี 2025
แชร์เทคนิคการทำ SEM ที่ใช้ได้ผลในปี 2025 จากเอเจนซี่รับยิงโฆษณาครบวงจร (แอดฉริยะ)
1. เลือกคีย์เวิร์ด
เลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ ค้นหาว่าลูกค้าเป้าหมายของคุณใช้คีย์เวิร์ดอะไรในการค้นหา โดยใช้เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ดเพื่อหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงและความยากในการแข่งขันต่ำ ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ควรให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะคีย์เวิร์ดจะกำหนดว่าโฆษณาของคุณจะแสดงต่อใคร
ตัวอย่างการเลือกคีย์เวิร์ด SEM :
- ปริมาณการค้นหาสูง : ค้นหาจำนวนผู้ใช้ที่ค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นต่อเดือน
- ความยากในการแข่งขันต่ำ : เลือกคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งน้อย
- ความเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ : คีย์เวิร์ดควรตรงกับสิ่งที่คุณขาย
2. เขียนโฆษณาที่ดึงดูดใจ
เขียนโฆษณาที่ตรงประเด็น น่าสนใจ และกระตุ้นให้ผู้ใช้คลิก จะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิก (Click-through rate – CTR) และ Conversion ได้ เช่นคำว่า “ซื้อเลย”, “คลิกที่นี่”, “เรียนรู้เพิ่มเติม” หรือ “จองด่วน” เป็นต้น
ตัวอย่างโฆษณา SEM ที่ดึงดูดใจ :
- สินค้า : รองเท้าวิ่งสุดคุ้ม ลดราคา 50%
- รายละเอียด : รองเท้าวิ่งคุณภาพสูง น้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี เหมาะสำหรับนักวิ่งทุกระดับ
- Call to Action : ซื้อเลย! สินค้ามีจำนวนจำกัด
3. ตั้งราคาประมูลอย่างเหมาะสม
ตั้งราคาประมูลให้สูงพอที่จะแสดงโฆษณาของคุณบนหน้าแรกของ Search Engine ได้ แต่ก็ไม่สูงจนเกินไป โดยกำหนดเป้าหมายแคมเปญของคุณให้ชัดเจนว่าต้องการ เพิ่มยอดขาย สร้างการรับรู้ หรือดึงดูดทราฟฟิกให้เข้ามาบนเว็บไซต์
เทคนิคการตั้งราคาประมูลอย่างเหมาะสม:
- ใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบ Enhanced CPC
- ตั้งราคาประมูลแยกตามอุปกรณ์
- ตั้งราคาประมูลแยกตามเวลา
- ใช้ Negative Keywords
4. ลง Landing Page ที่ดี
Landing Page เป็นหน้าเว็บที่ผู้ใช้จะเข้าถึงหลังจากคลิกโฆษณา SEM ซึ่งหน้า Landing Page ที่ดี จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ Conversion Rate สูงขึ้น ดังนั้นการสร้าง Landing Page ควรมีความเกี่ยวข้องกับโฆษณาของคุณ มีเนื้อหาที่น่าสนใจ และกระตุ้นให้ผู้ซื้อสั่งซื้อได้อย่างง่ายดายบน Landing Page
ตัวอย่าง Landing Page ที่ดี
- Landing Page ของ Apple สำหรับ iPhone 14 : https://www.apple.com/th/iphone-14/
- Landing Page ของ Air Force 1 : https://www.nike.com/th/w/air-force-1
5. ติดตามผลลัพธ์
วิเคราะห์ข้อมูลการโฆษณาของคุณอย่างสม่ำเสมอ ค้นหาว่าโฆษณาใดมีประสิทธิภาพดีและปรับแต่งโฆษณาของคุณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น อย่าลืมติดตามผลลัพธ์ SEM เพื่อวัดผลและประสิทธิภาพของแคมเปญ อย่างสม่ำเสมอด้วย
ตัวอย่างเทคนิคการติดตามผลลัพธ์ SEM
- ติดตาม Traffic : ใช้ Google Analytics เพื่อติดตามจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ แหล่งที่มาของ Traffic และดูพฤติกรรมผู้ใช้งาน
- ติดตาม Conversion Rate : ใช้ Google Analytics หรือเครื่องมือ CRM เพื่อติดตามจำนวน Conversion เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการกรอกข้อมูล
- ติดตาม CPA : ใช้ Google Ads เพื่อติดตามค่าใช้จ่ายต่อ Conversion
- วิเคราะห์คีย์เวิร์ด : ใช้ SEMrush หรือเครื่องมือ SEO เพื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ด และคู่แข่ง
สรุปบทความ
ADCHARIYA ขอสรุปให้คุณเข้าใจแบบกระชับ ๆ อีกครั้งว่า SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing หมายถึงการทำการตลาดผ่าน Search Engine ซึ่ง SEM แบ่งออกเป็นฝั่ง Organic (SEO) และฝั่ง Paid (PPC) ดังนั้น SEM ไม่ใช่ทั้ง SEO และ PPC แต่ทั้งนี้ บางเอเจนซี่หรือแหล่งข้อมูลบางแห่ง อาจเรียก PPC ว่า SEM ได้ ดังนั้น ก่อนจ้างทำ SEM ควรสอบถามให้ละเอียดก่อนว่าดูแลในส่วนใดบาง หวังว่าบทความ “SEM คืออะไร” จะช่วยคลายข้อสงสัยและเป็นประโยชน์ต่อคุณได้ไม่มากก็น้อย

Leave a Reply