ช่องทางในการลงโฆษณาออนไลน์มีให้เลือกหลายช่องทาง แต่ช่องทางที่ตอบโจทย์และครอบคลุมกับทุก ๆ ธุรกิจก็คงไม่พ้นการลงโฆษณา Google เพราะ Google คือเครื่องมือค้นหา (Search Engine) ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก แถมยังมีบริการในเครือข่ายอีกเพียบ อย่าง YouTube ก็เป็นหนึ่งใน Google Display Network (GDN) เช่นกัน เมื่อกลุ่มเป้าหมายค้นหาข้อมูลบน Google โฆษณา Google ที่คุณทำก็จะไปแสดงอยู่บนหน้าจอของพวกเขาในตำแหน่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้มีคนเห็นธุรกิจคุณเยอะ ส่งผลให้มีโอกาสในการปิดการขายได้สูงนั่นเอง และ ADCHARIYA จะมาแชร์ 10 เทคนิคลงโฆษณา Google Ads ฉบับเอเจนซี่รับทำโฆษณา Google Ads ให้รู้กันผ่านบทความนี้
โฆษณา Google Ads คืออะไร
Google Ads คือบริการโฆษณาออนไลน์บนเครือข่ายของ Google ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ โดยโฆษณา Google จะแสดงผลเมื่อผู้ใช้ค้นหาด้วยคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ ผู้ลงโฆษณาจะเสียค่าใช้จ่ายก็ต่อเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณา ซึ่งเป็นระบบที่เรียกว่า Pay-Per-Click (PPC) โดยผู้ลงโฆษณา Google สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด ทั้งด้านประชากรศาสตร์ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ภาษา และความสนใจของผู้ใช้ พร้อมทั้งควบคุมงบประมาณรายวันและเสนอราคาประมูลสำหรับคำค้นหา (Keywords) ที่ต้องการได้
รูปแบบการจ่ายค่าโฆษณา Google Ads
- Cost-per-click (CPC) : จ่ายตามจำนวนคลิกที่โฆษณาได้รับ
- Cost-per-mille (CPM) : จ่ายต่อการแสดงผลครบ 1,000 ครั้ง
- Cost-per-engagement (CPE) : จ่ายเมื่อผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณา เช่น ดูวิดีโอหรือลงทะเบียน
พื้นที่แสดงโฆษณา Google
- แสดงบนหน้าผลการค้นหาของ Google ทั้งด้านบน ด้านล่าง หรือด้านข้าง
- แสดงบน Google Maps, Google Play และแท็บ Shopping
- แสดงบนเว็บไซต์พาร์ทเนอร์ที่อยู่ในเครือข่าย Google
- แสดงบนผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Google เช่น Gmail, YouTube และ Blogger
ประโยชน์ของการลงโฆษณา Google Ads
โฆษณา Google Ads มีประโยชน์ต่อธุรกิจที่อยากเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางออนไลน์อย่างมาก ด้วยความสามารถในการเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำผ่านการกำหนดเงื่อนไขที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคำค้นหา พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ช่วงอายุ หรือความสนใจของผู้ใช้ ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยระบบจ่ายต่อคลิกที่คิดค่าใช้จ่ายเฉพาะเมื่อมีผู้คลิกที่โฆษณาเท่านั้น พร้อมกับความยืดหยุ่นในการกำหนดงบประมาณรายวันตามที่ต้องการ
จุดเด่นอีกประการของโฆษณา Google Ads คือระบบการติดตามและวัดผลที่แม่นยำ ช่วยให้เห็นภาพรวมของแคมเปญโฆษณาได้อย่างชัดเจน ทั้งจำนวนผู้เห็นโฆษณา อัตราการคลิก พฤติกรรมหลังการคลิก และอัตราการแปลงผล (Conversion Rate) ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งกลยุทธ์การโฆษณาได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากงบประมาณที่ลงทุนไป นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือจัดการแคมเปญที่ช่วยให้ดูแลหลายบัญชีพร้อมกัน และปรับแต่งแคมเปญได้แม้ในโหมดออฟไลน์ด้วย
ธุรกิจไหนควรลงโฆษณา Google Ads บ้าง?
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ – คอนโด บ้าน ทาวน์โฮม อพาร์ตเมนต์ เพราะเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงและลูกค้ามักค้นหาข้อมูลผ่าน Google ก่อนตัดสินใจ
- ธุรกิจร้านค้าออนไลน์ – อีคอมเมิร์ซ ร้านค้าออนไลน์ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ที่ต้องการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าใหม่
- ธุรกิจด้านการแพทย์และสุขภาพ – คลินิก โรงพยาบาล คลินิกความงาม ที่ต้องการเพิ่มจำนวนคนไข้และสร้างการรับรู้ในพื้นที่เป้าหมาย
- ธุรกิจบริการวิชาชีพ – ทนายความ นักบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ที่ต้องการหาลูกค้าที่กำลังมองหาบริการเฉพาะทาง
- ธุรกิจด้านการศึกษา – โรงเรียน มหาวิทยาลัย สถาบันกวดวิชา ที่ต้องการประชาสัมพันธ์หลักสูตรและรับสมัครนักเรียน นักศึกษา
- ธุรกิจร้านอาหาร – ร้านอาหาร คาเฟ่ ที่ต้องการเพิ่มจำนวนลูกค้าในพื้นที่ใกล้เคียง
- ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ – โรงแรม ที่พัก ทัวร์ บริษัทนำเที่ยว ที่ต้องการเข้าถึงนักท่องเที่ยวที่กำลังวางแผนการเดินทาง
- ธุรกิจยานยนต์ – โชว์รูมรถยนต์ ศูนย์บริการ อู่ซ่อมรถ ที่ต้องการเพิ่มลูกค้าในพื้นที่ให้บริการ
10 เทคนิคลงโฆษณา Google Ads ฉบับเอเจนซี่
พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ ปี โดยเฉพาะพฤติกรรมในการค้นหาข้อมูล ในฐานะที่เราเป็นเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ที่เชี่ยวชาญด้านการยิงโฆษณา จึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและการเปลี่ยนแปลงของ Google Algorithm ตลอดเวลา เพื่อให้โฆษณา Google ของเรามีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อธุรกิจของลูกค้ามากที่สุด เราจึงขอมัดรวม 10 เทคนิคลงโฆษณา Google Ads ให้ได้ผลดีในปี 2025 ที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์จริงของเรามาฝากกัน
1. เน้นการกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำ
คุณควรระบุกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน แทนที่จะยิงโฆษณา Google แบบกว้าง ๆ ควรให้เวลากับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า ทั้งด้านพฤติกรรม ไลฟ์สไตล์ และความสนใจ เพื่อสร้างแคมเปญที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
2. จัดโครงสร้างแคมเปญให้เป็นระบบ
แคมเปญที่มีประสิทธิภาพต้องมีการจัดระเบียบที่ดี แยกแคมเปญตามวัตถุประสงค์ทางการตลาด แบ่งกลุ่มโฆษณาตามประเภทสินค้าหรือบริการ และจัดการคีย์เวิร์ดให้สอดคล้องกับแต่ละกลุ่ม จะช่วยให้การบริหารงบประมาณและการวัดผลทำได้แม่นยำขึ้น
3. วิเคราะห์คีย์เวิร์ดอย่างละเอียด
การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมไม่ใช่แค่การเลือกคำที่มีคนค้นหามาก แต่ต้องพิจารณาถึงความตั้งใจในการค้นหา (Search Intent) การแข่งขัน และต้นทุนต่อคลิกด้วย เพื่อให้ได้คีย์เวิร์ดที่มีโอกาสสร้าง Conversion สูง
4. เน้นการทำ A/B Testing
การทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ ของโฆษณา Google อย่างสม่ำเสมอ ทั้งข้อความโฆษณา รูปภาพ Landing Page และ Call to Action จะช่วยให้คุณค้นพบสิ่งที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
5. ปรับแต่ง Landing Page อย่างต่อเนื่อง
Landing Page มีผลโดยตรงต่อ Conversion Rate ควรทำให้สอดคล้องกับข้อความโฆษณา มีการโหลดที่รวดเร็ว ใช้งานง่าย และมีเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้
6. ใช้ Smart Bidding เพิ่มประสิทธิภาพการประมูล
Smart Bidding เป็นกลยุทธ์การประมูลอัตโนมัติของ Google Ads ที่ใช้ Machine Learning ในการวิเคราะห์และปรับราคาประมูลแบบเรียลไทม์ ระบบจะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์ที่ใช้, ตำแหน่งที่ตั้ง, ช่วงเวลา และพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการแปลงผลและให้ ROI สูงสุด คุณสามารถเลือกกลยุทธ์ได้หลายรูปแบบ เช่น Target CPA, Target ROAS หรือ Maximize Conversions ตามเป้าหมายของแคมเปญ
7. วางกลยุทธ์ Negative Keywords อย่างรอบคอบ
การใช้ Negative Keywords เป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยกรองคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจออกไป เช่น คำว่า “ฟรี” “วิธีทำ” หรือ “ดาวน์โหลด” สำหรับธุรกิจที่ต้องการขายสินค้า การทำเช่นนี้จะช่วยลดการสูญเสียงบประมาณไปกับการคลิกที่ไม่มีโอกาสแปลงเป็นยอดขาย
8. เน้นประสิทธิภาพของ Quality Score
Quality Score เป็นตัวชี้วัดคุณภาพโฆษณาที่ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนและตำแหน่งการแสดงผล โดยพิจารณาจากความเกี่ยวข้องระหว่างคีย์เวิร์ด ข้อความโฆษณา และหน้าลงจอด รวมถึงอัตราการคลิก (CTR) คุณควรมุ่งเน้นการปรับปรุงองค์ประกอบเหล่านี้เพื่อยกระดับ Quality Score ให้สูงขึ้น
9. ใช้ประโยชน์จาก Ad Extensions
Ad Extensions ช่วยเพิ่มพื้นที่แสดงผลและข้อมูลให้กับโฆษณาของคุณ ไม่ว่าจะเป็น Sitelink Extensions, Call Extensions หรือ Location Extensions การใช้ส่วนขยายโฆษณาอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่ม CTR และโอกาสในการแปลงผล เพราะผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้โดยตรง
10. ทำ Remarketing อย่างชาญฉลาด
Remarketing Lists for Search Ads (RLSA) เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้คุณปรับแต่งแคมเปญสำหรับผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถปรับเพิ่มราคาประมูล ใช้คีย์เวิร์ดที่กว้างขึ้น หรือแสดงข้อความโฆษณาเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ชมเหล่านี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการกลับมาซื้อซ้ำหรือปิดการขายได้
สรุปบทความ
10 เทคนิคการลงโฆษณา Google Ads ที่เรารวบรวมมานี้ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญได้จริง โดยเน้นการใช้เครื่องมือและฟีเจอร์ต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ตั้งแต่การวางกลยุทธ์คีย์เวิร์ด การปรับแต่ง Quality Score ไปจนถึงการทำ Remarketing การปรับใช้เทคนิคเหล่านี้ในการทำโฆษณา Google ไม่เพียงช่วยประหยัดงบประมาณ แต่ยังเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าหรือบริการของคุณด้วย หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณไม่มากก็น้อย หากต้องการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณา Google Ads ติดต่อมาหา ADCHARIYA ได้เลย หรือถ้าคุณอยากเรียนรู้วิธีลง Google Ads ฟรี เราก็มีบทความให้ความรู้ในด้านนี้เพียบเช่นกัน

Leave a Reply