Domain Rating คืออะไร สำคัญกับการทำ SEO อย่างไร

Domain Rating (DR) คะแนนเว็บไซต์ที่สำคัญต่ออันดับ SEO

ปัจจัยในการทำ SEO ติดหน้าแรกบน Google มีอยู่หลายส่วนด้วยกัน ทั้งคุณภาพของเนื้อหาในบทความ SEO, ประสิทธิภาพของเว็บไซต์, การจัดการปัญหาเชิงเทคนิค, การออกแบบเว็บไซต์, การทำ Backlink และอื่น ๆ ซึ่งรวมไปถึง Domain Rating ด้วยเช่นกัน ซึ่งคุณจะต้องทำทุกอย่างควบคู่กันไป จึงจะส่งผลให้การทำ SEO (Search Engine Optimization) ประสบความสำเร็จนั่นเอง วันนี้ ADCHARIYA จะพาคุณไปเจาะลึกและทำความเข้าใจว่า Domain Rating คืออะไร Domain Rating ต่างจาก Domain Authority อย่างไร เว็บไซต์ควรมีคะแนน Domain Rating เท่าไหร่ รวมถึงแนะนำเครื่องมือเช็ก Domain Rating และวิธีเพิ่ม Domain Rating เพื่อผลักดันประสิทธิภาพ SEO ในปี 2025 ให้รู้กันด้วย

Domain Rating คืออะไร

Domain Rating คือคะแนนที่บ่งบอกคุณภาพของโดเมน (ชื่อเว็บไซต์) ซึ่งพัฒนาโดย Ahrefs เครื่องมือ SEO ชั้นนำที่คนทำ SEO และเอเจนซี่รับทำ SEO ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย โดยค่า DR จะแสดงผลเป็นตัวเลขตั้งแต่ 0-100 ถ้าคะแนน DR สูง ก็หมายความว่าเว็บไซต์นั้นมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในสายตาของ Google มาก เพราะเวลาที่ Google จัดอันดับเว็บไซต์ มักจะเลือกเอาเว็บไซต์ที่มี Domain Rating สูง ๆ ไปแสดงผลในตำแหน่งบน ๆ มากกว่าเว็บไซต์ที่มีค่าคะแนน Domain Rating ต่ำ

Domain Rating คืออะไร สำคัญกับการทำ SEO อย่างไร

การที่เว็บไซต์เราจะมีค่า Domain Rating สูงได้นั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ลิงก์มาหาเรา ไม่ใช่แค่มีลิงก์จำนวนมากก็พอ แต่ลิงก์เหล่านั้นต้องมาจากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับธุรกิจเราด้วย นี่คือเหตุผลที่ค่า Domain Rating กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่นักทำ SEO ใช้ในการประเมินชื่อเสียงของเว็บไซต์ ช่วยในการวิเคราะห์คู่แข่ง และวางแผนกลยุทธ์การสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อยกระดับเว็บไซต์ให้ติดอันดับสูงขึ้น

Domain Rating เท่าไหร่ถึงจะดี

ไม่ได้มีคำตอบตายตัวว่า Domain Rating เท่าไหร่ถึงจะดี เพราะคะแนน DR เป็นตัวชี้วัดที่เชิงสัมพัทธ์ ตรงที่มีการพิจารณาจากทั้งเว็บไซต์ที่ส่งลิงก์มาหาคุณว่ามีคะแนน DR เท่าไหร่ และพิจารณาจากจำนวนเว็บไซต์อื่นที่เว็บไซต์ที่ลิงก์มาหาคุณส่งออกไปด้วย ซึ่งคุณควรพิจารณาเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันมากกว่า ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีค่า DR สูงกว่าหรือใกล้เคียงกับคู่แข่งก็ถือว่าดีแล้ว โดยทั่วไปเว็บไซต์ใหม่ ๆ มักเริ่มต้นที่ค่า DR 0-10 เว็บไซต์ที่มีอายุปานกลางอาจมีค่า DR 10-50 ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ Backlink ขณะที่เว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงมักจะมีค่า DR 50-90+

ทั้งนี้ ค่า DR ไม่ใช่เครื่องวัดคุณภาพเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว การพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์ควรดูปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น คุณภาพของ Backlink, ปริมาณเนื้อหา, คุณภาพของเนื้อหา, ความถี่ในการอัปเดต, Organic Traffic และความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์คุณ ยิ่งเว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณมากเท่าไร การได้ Backlink จากเว็บนั้นยิ่งมีคุณค่ามากขึ้น

วิธีคำนวณ Domain Rating

Ahref จะคำนวณค่า Domain Rating (DR) จาก 2 ปัจจัยหลักคือ

  1. เมื่อโดเมนมีค่า DR สูง จะส่งผ่าน “Link Juice” หรือพลังของลิงก์ ไปยังโดเมนที่ได้รับลิงก์มากขึ้น
  2. โดเมนต้นทางจะแบ่งค่าอิทธิพลเท่าๆ กันไปยังทุกโดเมนที่มันลิงก์ถึง ดังนั้น โดเมนที่มี DR 10 แต่ลิงก์ไปยังเพียง 3 เว็บไซต์ อาจมีอิทธิพลต่อค่า DR ของคุณมากกว่าโดเมนที่มี DR 80 แต่ลิงก์ไปยังหลาย ๆ เว็บไซต์

หลังจากทำการคำนวณซ้ำแล้ว เราจะได้คะแนนสำหรับแต่ละโดเมน ค่า DR สุดท้ายจะได้จากการปรับค่าสัมบูรณ์ที่คำนวณได้ให้อยู่ในช่วง 0-100 นั่นเอง

Domain Rating สำคัญกับการทำ SEO อย่างไร

Domain Rating เป็นตัวชี้วัดของประสิทธิภาพของ SEO ในด้านของความแข็งแกร่งของเว็บไซต์และ Backlink เมื่อคะแนน DR ดี จะช่วยให้คอนเทนต์ที่โพสต์ลงไปติดอันดับบน Google ง่ายและเร็วขึ้น เพิ่มโอกาสในการทำให้คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงติดอันดับ และช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ อันเป็นผลให้มีเว็บไซต์อื่นทำ Backlink กลับมาหาแบบธรรมชาติด้วย และจากการวิเคราะห์หลาย ๆ เว็บไซต์ เราจะพบได้ว่าเว็บไซต์ที่ไม่ได้รับ Quality Backlink เลย มักจะมี Website Traffic ต่ำ เนื่องจากเว็บไซต์ไม่ถูกดึงไปจัดอันดับในตำแหน่งสูงนั่นเอง

Domain Rating ต่างกับ Domain Authority ยังไง

Domain Rating (DR) และ Domain Authority (DA) เป็นตัวชี้วัดทาง SEO ที่คล้ายกันมาก แต่มาจากผู้คิดค้นที่ต่างกัน คือ DR เป็นของ Ahrefs ส่วน DA เป็นของ Moz ทั้งคู่มีการให้คะแนนความน่าเชื่อถือตั้งแต่ 0-100 เหมือนกัน แต่มีวิธีคิดคะแนนที่ต่างกัน โดย DR ของ Ahrefs จะเน้นดูเรื่อง Backlink เป็นหลัก ขณะที่ DA ของ Moz จะเน้นไปที่ตัวเว็บไซต์มากกว่า เช่น 

  • ความหลากหลายของโดเมนที่มีการส่ง Backlink มา
  • จำนวนหน้าเว็บทั้งหมด
  • พฤติกรรมของผู้ใช้งาน
  • อายุโดเมน

อย่างไรก็ตาม นักทำ SEO ส่วนใหญ่มักใช้ทั้ง DR และ DA ควบคู่กันในการวิเคราะห์เว็บไซต์ เพราะทั้งสองค่าช่วยให้มองภาพรวมได้ดีขึ้น แต่ถ้าคุณต้องเลือกใช้แค่ตัวเดียว ให้ดูว่าต้องการวัดความแข็งแกร่งของ Backlink (ใช้ DR) หรือต้องการประเมินภาพรวมทั้งหมดของเว็บไซต์ (ใช้ DA) กันแน่ และเลือกใช้ตัวชี้วัดที่ตอบโจทย์จุดประสงค์แทน

แนะนำเครื่องมือเช็ก Domain Rating

วิธีเช็กคะแนน Domain Rating ทำได้โดยการเข้าไปที่ Ahrefs.com จากนั้นใส่ URL ที่ต้องการตรวจสอบลงในช่องค้นหา ระบบจะแสดงค่า DR พร้อมข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับ Backlink ของเว็บไซต์นั้นมาให้ แต่ถ้าคุณไม่มีบัญชี Ahrefs แบบพรีเมียม ก็ยังสามารถใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Ahrefs Webmaster Tools เพื่อดูข้อมูลเบื้องต้นได้ นอกจาก Ahrefs แล้ว ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ ที่สามารถใช้ในการเช็กค่าความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ได้ คือ 

  • Moz ใช้ ตรวจสอบค่า Domain Authority ซึ่งคล้ายกับ DR แต่ใช้เกณฑ์การคำนวณต่างกัน
  • Semrush มีเครื่องมือ Authority Score ที่ใช้วัดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
  • Majestic ใช้เช็กค่า Trust Flow และ Citation Flow ซึ่งใช้วัดคุณภาพของ Backlink
  • UberSuggest เป็นทางเลือกฟรีที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับค่าความน่าเชื่อถือของโดเมน

5 วิธีเพิ่มค่า Domain Rating ให้กับเว็บไซต์ 2025

อย่างที่เราบอกไปว่าเว็บไซต์ที่มีค่า Domain Rating สูง ๆ มักจะได้เปรียบกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ ดังนั้น ถ้าคุณอยากทำ SEO ติดหน้าแรก มีคนเข้ามาใช้งานเว็บไซต์ของคุณเยอะ ๆ พร้อมกับกระตุ้นยอดขายให้กับธุรกิจไปในตัว มาเพิ่มค่า Domain Rating ด้วยวิธีที่เราเอามาฝากกันได้เลย

1. สร้างเนื้อหาที่ดีและมีประโยชน์

เนื้อหาที่ดีและมีประโยชน์ ไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้ใช้งานทั่วไปให้เข้ามาอ่านข้อมูลบนเว็บไซต์ แต่ยังดึงดูดให้นักการตลาดอยากแชร์หรือนำเนื้อหาไปอ้างอิง และทำ Backlink กลับมาให้โดยธรรมชาติด้วย ซึ่งคุณควรสร้างเนื้อหาที่เป็นต้นฉบับ เขียนข้อมูลจริง ใช้ข้อมูลเชิงลึกประกอบ มีเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ และสดใหม่ รวมถึงให้ความสำคัญกับการเขียนเนื้อหาตามเกณฑ์ E-E-A-T Factor ด้วย เพื่อให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่าและน่าเชื่อถือสูง

การสร้าง Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณเป็นวิธีที่ดีมากในการเพิ่มค่า DR โดยแนะนำให้เน้นไปที่เว็บไซต์ที่มี DR สูงกว่า 30 ขึ้นไป คุณสามารถสร้าง Backlink คุณภาพได้หลายวิธี เช่น การทำ Guest Post คือการเขียนบทความไปลงบนเว็บไซต์อื่น หรือการติดต่อทำ PR News บนเว็บไซต์ข่าวที่มีความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ควรพยายามขอ Backlink แบบ Dofollow Link เพื่อให้ Backlink นี้ ส่งผลต่อค่า DR จริง ๆ 

การทำ Internal Link ที่ดี จะช่วยกระจาย Link Juice ไปทั่วเว็บไซต์ ทำให้ทุกหน้ามีความแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งคุณควรวางโครงสร้างและระบบของ Internal Link ให้ดี อาทิ การเชื่อมโยงหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องกัน โดยใช้ Anchor Text ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา และควรทำ Content Pillar วางแผนการเชื่อมโยงเนื้อหาในหน้าต่าง ๆ ของเว็บไซต์

Backlink คุณภาพต่ำหรือ Spam Backlink สามารถทำให้ค่า DR ของคุณแย่ลงไว้ ซึ่ง Backlink ที่อันตรายเหล่านี้มักจะมาจากเว็บพนัน เว็บผู้ใหญ่ เว็บขายยา หรือเว็บที่ถูก Google ลงโทษ เมื่อเว็บไซต์มีค่า Spam Score สูง อาจทำให้ Google ลงโทษได้ วิธีแก้ไขเมื่อพบ Spam Backlink คือการ Disavow Links ผ่าน Google Search Console เพื่อบอก Google ว่าคุณไม่ต้องการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์เหล่านั้น

5. ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งาน

เว็บไซต์ที่โหลดเร็ว ใช้งานง่ายบนทุกอุปกรณ์ มีเนื้อหาคุณภาพ โครงสร้างดี ฯลฯ รวมถึงมีการปรับปรุงตามตัวชี้วัด Core Web Vitals และทำ Technical SEO อย่างต่อเนื่อง จะช่วยมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานได้ ซึ่ง Google จะชื่นชอบมาก แถมยังส่งผลทางอ้อมต่อค่า DR  อีกด้วย ดังนั้น คุณควรปรับปรุงเว็บไซต์ให้เอื้ออำนวยต่อการใช้งานของ User มากที่สุด เพื่อให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น มีโอกาสกลับมาใช้งานซ้ำ และลด Bounce Rate (อัตราการตีกลับ)

สรุป