H1 คืออะไร สำคัญอย่างไร ทำไมถึงช่วยให้ติดอันดับ SEO ได้

H1 คืออะไร สำคัญอย่างไร ทำไมถึงช่วยให้ติดอันดับ SEO ได้

เขียนคอนเทนต์ลงเว็บไซต์ตั้งเยอะ แต่ไม่ติดอันดับบน Google เหมือนเว็บไซต์อื่น ๆ เลย ใครที่เจอปัญหานี้อยู่ คุณต้องหันมาทำความเข้าใจว่า SEO คืออะไรให้มากขึ้น พร้อมทั้งตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณมีองค์ประกอบสำคัญ ๆ อย่าง H1 แล้วหรือยัง H1 คืออะไร? H1 เป็นเหมือนหัวข้อของบทความหรือชื่อเรื่องที่จะทำให้ผู้อ่านและ Search Engine อย่าง Google เข้าใจว่าหน้าเว็บของคุณพูดถึงเรื่องอะไร เมื่อผู้ใช้งานค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับ H1 นั้น ระบบก็จะดึงเอาเว็บไซต์ของคุณขึ้นไปแสดงผลนั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่าคุณจะเขียน H1 ยังไงก็ได้ มันมีวิธีเขียนอย่างถูกต้องอยู่ ซึ่งทั้งหมดที่เรากล่าวไปนี้ คุณสามารถอ่านทำความเข้าใจได้ในบทความนี้เลย เพราะ ADCHARIYA ได้รวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับ H1 หรือ <h1> มาเรียบเรียงให้คุณอ่านแล้ว

H1 คืออะไร ย่อมาจากอะไร

H1 คือหัวข้อหลักของหน้าเว็บไซต์ที่บอกให้ผู้อ่านและ Google รู้ว่าเนื้อหาในหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร สำหรับบางเว็บไซต์ H1 คือชื่อบทความหรือหน้าเพจนั้น ๆ โดยในโค้ด HTML จะถูกเขียนในรูปแบบ <h1> หัวข้อของคุณ</h1> ความสำคัญของ H1 ต่อการทำ SEO คือช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจได้ทันทีว่าเนื้อหาของคุณกำลังนำเสนออะไร การใส่คำค้นหา (Keyword) ที่สำคัญลงใน H1 จึงช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับในผลการค้นหาได้ดีขึ้น

Heading Tags ประกอบด้วย H1 ถึง H6 ซึ่งเป็นแท็กที่ใช้จัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาบนเว็บไซต์ H2 ใช้เป็นหัวข้อรองที่แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ ส่วน H3, H4 และอื่น ๆ จะใช้สำหรับหัวข้อย่อยต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ H2 ตามลำดับความสำคัญ การจัดโครงสร้าง Heading Tags อย่างเหมาะสมไม่เพียงช่วยให้เนื้อหาอ่านง่าย แต่ยังทำให้ Google เข้าใจโครงสร้างเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อการจัดอันดับในผลการค้นหา

  • แต่ละหน้าเว็บไซต์ควรมี H1 เพียง 1 แท็กเท่านั้น
  • H2 เหมาะสำหรับแบ่งเนื้อหาเป็นส่วน ๆ เช่น “H1 คืออะไร”, “H1 สำคัญกับการทำ SEO อย่างไร”
  • H3-H5 ใช้สำหรับหัวข้อย่อยที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมภายใต้หัวข้อ H2
  • ควรใช้คำสำคัญในแท็ก Heading อย่างเหมาะสมเพื่อบอกให้ Google รู้ว่าเนื้อหาส่วนนั้นเกี่ยวกับอะไร

H1 สำคัญกับการทำ SEO อย่างไร

H1 เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญของการทำ On-Page SEO เพราะจะช่วยให้ทั้งคนอ่านและ Google เข้าใจภาพรวมและรู้ว่าหน้าเว็บนี้พูดถึงอะไร ซึ่งส่งผลดีต่อการจัดอันดับบน Google SERPs อย่างมาก รวมถึง H1 ยังเป็นองค์ประกอบแรก ๆ ที่ผู้เข้าชมเว็บมองเห็น และช่วยตัดสินใจว่าเนื้อหานั้นตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังค้นหาหรือไม่ การทำ On-Page SEO ที่ดีจึงต้องให้ความสำคัญกับการตั้ง H1 ให้น่าสนใจและตรงประเด็น

เพิ่มความชัดเจนให้กับเนื้อหา

H1 ช่วยให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวกับอะไร เมื่อ Googlebot เข้ามาอ่านโค้ด HTML ของหน้าเว็บ มันจะให้ความสำคัญกับข้อความที่อยู่ในแท็ก H1 เป็นพิเศษ การใส่คีย์เวิร์ดสำคัญใน H1 จึงเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้น ๆ

สร้างลำดับชั้นของเนื้อหาที่เป็นระบบ

H1 เป็นจุดเริ่มต้นของการจัดโครงสร้างข้อมูลในหน้าเว็บ การมี H1 ที่ชัดเจนตามด้วย H2, H3 ที่เรียงลำดับอย่างเหมาะสมช่วยให้ทั้ง Google และผู้อ่านเข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาในหน้าเว็บ Google ใช้โครงสร้างนี้ในการวิเคราะห์และจัดหมวดหมู่เนื้อหาของคุณ ซึ่งส่งผลดีต่อการจัดอันดับในผลการค้นหา

ปรับปรุงอัตราการคลิก (CTR)

หลาย ๆ ครั้ง Google จะนำข้อความจาก H1 ไปแสดงเป็นชื่อเรื่องในผลการค้นหา การมี H1 ที่น่าสนใจและตรงประเด็นจะช่วยดึงดูดให้ผู้ใช้คลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น อัตราการคลิก (CTR) ที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ Google ใช้พิจารณาในการจัดอันดับเว็บไซต์ เพราะแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาของคุณมีประโยชน์ต่อผู้ใช้

การใช้ H1 ที่ชัดเจนและมีโครงสร้างที่ดีเพิ่มโอกาสให้เนื้อหาของคุณได้รับการแสดงเป็น Featured Snippet หรือตำแหน่ง 0 บน Google ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์และดึงดูดการคลิกเข้าชมได้มากขึ้น Google มักจะนำข้อมูลจากหน้าเว็บที่มีโครงสร้างชัดเจนมาแสดงในส่วนนี้

วิธีตรวจสอบ H1 ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

ใครที่อยากรู้ว่าหน้าเว็บไซต์ของเราหรือคู่แข่งที่เรากำลังตามติดนั้น ทำ SEO ได้ถูกต้องตรงหลักหรือไม่ และมี H1 เขียนว่าอะไร สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ ผ่านส่วนขยาย (Extensions) บนเบราว์เซอร์ Google Chrome โดยเราจะแนะนำเป็น “SEO META in 1 CLICK” และ “Ahrefs” สามารถเลือกติดตั้งเครื่องมือเดียวก็ได้

SEO META in 1 CLICK

  • เข้าไปที่ “ส่วนขยาย” มุมขวาบนของเบราว์เซอร์
  • กดเลือก “สํารวจส่วนขยายและธีมเพิ่มเติมใน Chrome เว็บสโตร์”
  • ค้นหาและติดตั้ง “SEO META in 1 CLICK”
  • เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ให้ปักหมุดเอาไว้
  • วิธีใช้คือให้เข้าไปบนหน้าเว็บที่ต้องการ จากนั้นก็คลิกเข้าไปที่ “Headers” คุณก็จะพบ Heading Tags ของหน้าเว็บนั้น ๆ 
SEO META in 1 CLICK

Ahrefs

  • เข้าไปที่ “ส่วนขยาย” มุมขวาบนของเบราว์เซอร์
  • กดเลือก “สํารวจส่วนขยายและธีมเพิ่มเติมใน Chrome เว็บสโตร์”
  • ค้นหาและติดตั้ง “Ahrefs”
  • เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ให้ปักหมุดเอาไว้
  • วิธีใช้คือให้เข้าไปบนหน้าเว็บที่ต้องการ จากนั้นก็คลิกเข้าไปที่ “Content” คุณก็จะพบ Heading Tags ของหน้าเว็บนั้น ๆ บริเวณด้านล่าง
Ahrefs

แจกเทคนิคการเขียน H1 ให้ติดอันดับ SEO

  1. ทุกหน้าเว็บต้องมี H1 เพราะเป็นจุดแรกที่ Google มองหาเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาของหน้านั้น และควรวางไว้ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนอย่างด้านบนสุด
  2. 1 หน้าเว็บต้องมี H1 เพียง 1 อันเท่านั้น การมี H1 มากกว่าหนึ่งทำให้ Google สับสนว่าหน้านี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ ซึ่งส่งผลเสียต่อการจัดอันดับได้
  3. ใส่คีย์เวิร์ดหลักใน H1 อย่างชาญฉลาด เพราะ H1 ที่มีคีย์เวิร์ดที่คนค้นหาจะช่วยเพิ่มโอกาสติดอันดับได้มาก ควรเขียนให้เป็นธรรมชาติและอ่านง่าย
  4. เขียน H1 ให้กระชับแต่ครบประเด็น โดย H1 ที่ดีควรมีความยาวประมาณ 20-60 ตัวอักษร ควรเขียนให้น่าสนใจและกระตุ้นให้เกิดการคลิกด้วย

ข้อควรระวังในการเขียน H1

  • ใช้ H1 แค่หนึ่งครั้งต่อหน้า ถ้าใส่หลายตัว Google จะสับสนว่าหน้านี้เกี่ยวกับอะไรกันแน่
  • อย่ายัดคีย์เวิร์ดมากเกินไป เขียนให้เป็นธรรมชาติ เน้นมนุษย์อ่านแล้วเข้าใจ
  • อย่าเขียนซ้ำกับ Meta Title ปรับให้แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ยังคงมีคีย์เวิร์ดหลักเหมือนกัน
  • H1 ต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาจริง ๆ อย่าใส่แค่เพื่อให้ติดคีย์เวิร์ด แต่เนื้อหาไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น
  • หลีกเลี่ยงตัวอักษรพิเศษ อย่าใช้เครื่องหมายหรืออิโมจิมากเกินไป เพราะทำให้ดูไม่เป็นมืออาชีพ

สรุป

H1 คืออะไร? สรุปว่า H1 คือหัวข้อของโครงสร้างเนื้อหาที่ใหญ่และสำคัญที่สุดบนหน้าเว็บไซต์ โดยเฉพาะเมื่อคุณเขียนบทความ SEO หรือเนื้อหาที่หวังให้ติดอันดับบน Google เพราะ H1 จะช่วยบอกให้ Google และผู้ใช้งานรู้ว่าหน้านี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร หากคุณเขียน H1 และองค์ประกอบของ On-Page SEO ได้ถูกต้องตามหลัก โอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับบนหน้าแรก Google ก็สูงมากขึ้นไปอีก และเราก็ได้แนะนำวิธีเขียน H1 พร้อมวิธีตรวจสอบ H1 ไปให้แล้วในบทความนี้ ลองเริ่มจากตรวจสอบหน้าเว็บไซต์ของตัวเองก่อนว่ามี H1 แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีควรใส่โดยด่วน และอย่าลืมเพิ่ม Meta Tag ด้วยล่ะ