ในยุคดิจิทัลอย่างในปัจจุบันนี้ การค้นหาข้อมูลออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ Search Engine อย่าง Google เพื่อค้นหาคำตอบ ค้นหาสินค้า และค้นหาข้อมูลต่าง ๆ มากมาย และเว็บไซต์ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าแรกของ Google มักได้รับ Traffic สูง จึงมีโอกาสสร้าง Conversion และขยายฐานลูกค้าได้มากกว่าเว็บไซต์ที่อยู่อันดับล่าง ๆ
แต่รู้ไหมว่ามีเว็บไซต์กว่า 1.9 พันล้านแห่งบนโลกที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด เพื่อให้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google และการทำ SEO คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับอย่างโดดเด่นและเป็นที่รู้จักนั่นเอง บทความนี้จะพาคุณไปไขความลับของ SEO แบบจัดเต็ม! อธิบายว่า SEO คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร แบ่งประเภท SEO ออกเป็นกี่ประเภท รวมถึงมีเทคนิค SEO อะไรบ้างที่ใช้ได้ผลในปี 2025
มาทำความรู้จัก SEO คืออะไร ?
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือ กระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้น ๆ บนหน้าผลการค้นหา (SERP) ของ Search Engine อย่าง Google โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา เปรียบเสมือนว่าหน้าเว็บไซต์เป็น “ร้านค้า” ส่วนการทำ SEO คือ “การตกแต่งร้าน” ให้เว็บไซต์ของคุณดูสวยงาม น่าอยู่ เป็นระเบียบ และดึงดูดให้ Google อยากเข้ามาในร้านของคุณ และเลือกจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณมาโชว์บนหน้าการค้นหา ยิ่งคุณแต่งเว็บไซต์ของคุณได้ดีและเป็นไปตามที่ Google ชอบมากเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่อันดับเว็บไซต์ของคุณจะสูงขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ ถือเป็นเทคนิคที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ก็เหมือนกับการที่คุณมี “ร้านค้าที่สวยงาม ตั้งอยู่บนถนนสายหลัก” ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นและเข้ามาเยี่ยมชมร้านของคุณได้ง่ายขึ้น SEO ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกประตูสู่โลกออนไลน์ เพิ่มโอกาสให้ผู้คนค้นพบธุรกิจของคุณนั่นเอง
ประโยชน์ของการทำ SEO คืออะไร ทำไมคนมีเว็บต้องทำ
สาเหตุที่คนมีเว็บไซต์ต้องทำ SEO นั้นเป็นเพราะว่าในปัจจุบันมีผู้คนใช้ Search Engine ค้นหาข้อมูลกันทุกวัน แทบทุกคนใช้ Google ค้นหาข้อมูลสินค้า บริการ หรือข้อมูลอื่น ๆ ส่งผลให้การแข่งขันบนโลกออนไลน์สูงขึ้น เว็บไซต์มีจำนวนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้การทำ SEO จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเว็บไซต์ทุกประเภท เพราะมีประโยชน์ต่อเว็บไซต์และธุรกิจของคุณ ดังนี้
- เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ : เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ บน Google ผู้คนจะค้นหาเจอได้ง่ายขึ้น
- สร้างโอกาสในการขายและสร้างรายได้ : ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งหมายถึงโอกาสในการขายและสร้างรายได้ที่มากขึ้น
- เพิ่มการรับรู้แบรนด์และความน่าเชื่อถือ : เว็บไซต์ที่ติดอันดับต้น ๆ บน Google แสดงถึงความน่าเชื่อถือและสามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ได้
- ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ : SEO ช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่และช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ได้เป็นอย่างดี
SEO แตกต่างจาก SEM ไหมนะ ?
SEO (Search Engine Optimization) และ SEM (Search Engine Marketing) เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ที่ช่วยดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ แต่มีความแตกต่างกันดังนี้

SEO (Search Engine Optimization)
- เน้นการเพิ่มอันดับเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหาแบบออร์แกนิก โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา
- ใช้เทคนิคปรับแต่งเว็บไซต์ เช่น เนื้อหา โครงสร้าง และการทำ Backlink
- เหมาะสำหรับการวางกลยุทธ์ระยะยาว
- อาจต้องใช้เวลา 3-6 เดือนถึงจะเห็นผลลัพธ์
SEM (Search Engine Marketing)
- เน้นการซื้อโฆษณา เพื่อให้เว็บไซต์แสดงผลบนหน้าการค้นหา (บางคนเรียกว่า Google Ads)
- จ่ายเงินเมื่อมีคนคลิกโฆษณา (Pay-Per-Click)
- เหมาะสำหรับธุรกิจที่อยากให้มีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทันที
- ผลลัพธ์สามารถวัดผลได้รวดเร็ว
สรุปแล้ว SEO เน้นการเพิ่มอันดับแบบออร์แกนิก ไม่เสียค่าโฆษณา เหมาะกับกลยุทธ์ระยะยาว ส่วน SEM เน้นการซื้อโฆษณา จ่ายเงินเมื่อมีคนคลิก เหมาะกับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายรวดเร็ว แต่ทั้ง SEO และ SEM ต่างมีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ทั้งสิ้น ดังนั้นการใช้ SEO ควบคู่ไปกับ SEM จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์สูงสุด
การทำ SEO มีกี่ประเภท เลือกทำแบบไหนดี ?
การทำ SEO แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ On-Page SEO และ Off-Page SEO โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. On-Page SEO
On-Page SEO ย่อมาจากกระบวนการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างภายในเว็บไซต์ให้ตรงกับอัลกอริทึมของ Search Engine อย่าง Google โดยมีเป้าหมายหลักก็เพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจเว็บไซต์ของคุณ และนำมาจัดอันดับให้แสดงผลบนหน้าแรกของ SERP และดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์
องค์ประกอบหลักของ On-Page SEO
- หัวข้อ : หัวข้อของเว็บไซต์ควรสื่อความหมายได้ชัดเจนและตรงประเด็น
- เนื้อหา : เนื้อหาควรมีความน่าสนใจ อ่านง่าย Informative และเกี่ยวข้องกับ Keyword ที่ผู้ใช้งานค้นหา
- Keyword : ควรเลือก Keyword ที่มีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณและเป็นคำที่ผู้ใช้งานค้นหาบ่อย
- Meta Description : ควรเขียนให้สื่อความหมายเกี่ยวกับเนื้อหาของเว็บไซต์อย่างน่าสนใจ
- รูปภาพ : รูปภาพควรมีขนาดที่เหมาะสม เป็นไฟล์สกุล WebP และมี Alt Text กำกับเพื่ออธิบายรูปภาพ
- โครงสร้างเว็บไซต์ : โครงสร้างเว็บไซต์ควรมีความเป็นระเบียบและใช้งานง่าย
- ความเร็วในการโหลด : เว็บไซต์ควรโหลดได้อย่างรวดเร็วและแสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์
2. Off-Page SEO
Off-Page SEO คือกระบวนการสร้าง Backlink จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ เปรียบเสมือนการบอก Search Engine อย่าง Google ว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและควรค่าที่จะได้ติดอันดับต้น ๆ บนหน้าผลการค้นหา (SERP) เป้าหมายหลักในการทำ Off-Page SEO คือการเพิ่มความน่าเชื่อถือ (Authority) ของเว็บไซต์คุณ
เทคนิค Off-Page SEO ที่นิยม
- Backlink : Backlink คือการส่งลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ โดย Backlink ที่มีคุณภาพจะช่วยเพิ่ม Authority ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้ดีเยี่ยม
- Social Media : การแชร์เนื้อหาบน Social Media และแนบลิงก์เว็บไซต์ จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักและดึงดูดผู้ใช้งานใหม่ ๆ เข้ามา
- Guest Blogging : การเขียนบทความและนำไปโพสต์บนเว็บไซต์อื่น จะช่วยให้คุณมี Backlink เพิ่ม และดันคะแนน Domain Authority ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
- Local SEO : การทำ SEO สำหรับธุรกิจท้องถิ่น ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าแรกของผลการค้นหาเมื่อผู้ใช้งานค้นหาธุรกิจประเภทของคุณในพื้นที่นั้น ๆ
แชร์เทคนิคการทำ SEO ที่ใช้ได้ผลในปี 2025
เทคนิคการทำ SEO ที่ใช้ได้ผลในปี 2025 นั้น มุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ และการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายบนอุปกรณ์ Mobile รวมถึงยังมีเทคนิค SEO ที่สำคัญอื่น ๆ ร่วมด้วย
1. เทคนิคการวิเคราะห์ Keyword Research
การวิเคราะห์ Keyword Research เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO ที่ช่วยให้คุณค้นหาคำหลักที่ผู้คนใช้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณเจอ ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างเนื้อหาและเว็บไซต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มโอกาสในการค้นหาบน Google และดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจของคุณขาย รองเท้าวิ่ง คุณสามารถวิเคราะห์ Keyword ดังนี้
ทำความเข้าใจธุรกิจของคุณเอง
- ธุรกิจ : ขายรองเท้าวิ่ง
- สินค้า/บริการ : รองเท้าวิ่ง
- กลุ่มเป้าหมาย : นักวิ่ง
- ค้นหาข้อมูล : รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุด, รองเท้าวิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น, รองเท้าวิ่งราคาถูก
วิเคราะห์คู่แข่ง
- คู่แข่งของคุณใช้ Keyword “รองเท้าวิ่ง” “รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุด” “รองเท้าวิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น”
- อันดับเว็บไซต์ของคู่แข่งอยู่ในหน้าแรกของ Google
- กลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง : เขียนบทความเกี่ยวกับรองเท้าวิ่ง, ทำ Backlink
เครื่องมือช่วยค้นหา Keyword
- Google Keyword Planner : แสดง Search Volume และ Keyword Difficulty
- Ubersuggest : แสดง Keyword เพิ่มเติม
- SEMrush : แสดงอันดับเว็บไซต์ของคู่แข่ง
- Ahrefs : แสดงข้อมูล Backlink ของคู่แข่ง
ประเภทของ Keyword
- Short-tail Keyword : รองเท้าวิ่ง
- Long-tail Keyword : รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิง
- LSI Keyword : รองเท้าออกกำลังกาย, รองเท้าเทรนนิ่ง
วิเคราะห์ Keyword
- Search Volume : “รองเท้าวิ่ง” มี Search Volume สูง
- Keyword Difficulty : “รองเท้าวิ่ง” มี Keyword Difficulty สูง
- Cost Per Click : “รองเท้าวิ่ง” มี Cost Per Click สูง
เลือก Keyword ที่เหมาะสม
- เลือก Keyword “รองเท้าวิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น”
- เลือก Keyword “รองเท้าวิ่งราคาถูก”
2.เทคนิคการเขียนคอนเทนต์ SEO
การเขียนบทความ SEO เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ บน Google ดึงดูดผู้ใช้งาน เพิ่ม Conversion Rate และประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ โดยเขียนเนื้อหาให้มีคุณภาพ ละเอียด เข้าใจง่าย ตอบคำถามที่ผู้ค้นหาอยากรู้ เรียบเรียงอย่างน่าสนใจ เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่เลือกใช้ และเขียนเนื้อหาให้มีความยาวที่เหมาะสม (โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 500-1,000 คำ) โดยใส่ Keyword ในเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ
3.เทคนิคการสร้าง Backlink คุณภาพ
Backlink คือ ลิงก์ที่ส่งจากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ เพื่อบอก Google ว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือมาก จนต้องใส่ลิงก์อ้างอิงลงไป ซึ่งการทำ Backlink ก็มีอยู่หลากหลาย แต่การทำ Backlink ที่ได้ผลดีที่สุดคือการทำ Backlink คุณภาพ หรือการส่งลิงก์มาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีคะแนน Domain Authority (DA), Domain Rating (DR) อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ตัวอย่างการทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จของแอดฉริยะ
แอดฉริยะ (ADCHARIYA) ดิจิทัลเอเจนซี่ที่โดดเด่นด้านการทำการตลาดออนไลน์ เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO และยิงแอดบนทุกแพลตฟอร์ม มั่นใจในผลลัพธ์ได้เลย เพราะเรามีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ทำงานแบบมืออาชีพ! เรามุ่งมั่นให้คุณได้มีเวลาในการทำส่วนอื่น ๆ มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการตลาดออนไลน์อีกต่อไป ภายใต้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ งบประมาณที่คุ้มค่า และการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน มาลองดูตัวอย่างผลงานการรับทำ SEO ของเรากันดีกว่า!
Case Study : เว็บไซต์ Melati Resort เป็นเว็บไซต์ของรีสอร์ตที่ตั้งอยู่บนเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในประเทศไทย โดยเว็บไซต์ Melati Resort มีการทำ SEO โดยเน้นไปที่ 3 กลยุทธ์หลัก ดังนี้
1. การเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ
- เขียนบทความเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสมุย
- เขียนบทความเกี่ยวกับกิจกรรมที่สามารถทำบนเกาะสมุย
- เขียนบทความเกี่ยวกับรีสอร์ต Melati Resort
- เขียนบทความให้มีความยาว Informative และ SEO-friendly
2. การสร้าง Backlink
- เขียน Backlink ลงบนเว็บไซต์ท่องเที่ยว
- แชร์บทความลงบน Social Media
3. การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายบนอุปกรณ์ Mobile
- ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ Responsive Design
- เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
- ปรับแต่ง Call to Action ให้ชัดเจน
ผลลัพธ์ที่เกินขึ้นหลังการทำ SEO
- เว็บไซต์ Melati Resort ขึ้นอันดับ 1 บน Google Search สำหรับ Keyword หลายตัว เช่น “รีสอร์ต เกาะสมุย” “ที่พัก เกาะสมุย” และ “เที่ยว เกาะสมุย”
- Traffic ที่เข้ามาในเว็บไซต์ Melati Resort เพิ่มขึ้นถึง 300%
- Conversion Rate ของเว็บไซต์ Melati Resort เพิ่มขึ้นกว่า 200%
สรุปบทความเกี่ยวกับการทำ SEO
การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Search Engine อย่าง Google เพื่อเพิ่ม Organic Traffic, สร้าง Brand Awareness, สร้างความน่าเชื่อถือ, กระตุ้นยอดขาย และครอง Market Share ในอัตราส่วนที่มากกว่าคู่แข่ง เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้คุณได้เข้าใจว่า SEO คืออะไร มีองค์ประกอบและเทคนิคอะไรบ้างอย่างครบถ้วน! เอาล่ะ ถ้าอยากให้ธุรกิจรุ่ง จนยอดขายพุ่งรัว ๆ ลองเริ่มต้นลงมือทำ SEO กันได้เลย

Leave a Reply