ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงปี 2024 ที่ผู้ซื้อมีกำลังลดลง ในขณะที่วัสดุก่อสร้างมีราคาสูงขึ้น พอเปิดมาปี 2025 ไม่นาน ประเทศไทยกลับมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น ทำให้ธุรกิจอสังหาฯ ได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า โดยเฉพาะตึกสูงและคอนโดที่ไม่ได้มีโครงสร้างที่เอื้ออำนวยต่อสถานการณ์แผ่นดินไหว ไหนจะการแข่งขันทางการตลาดอสังหากับแบรนด์คู่แข่งอีก เรียกได้ว่าต้องปรับตัวใหม่ในทุก ๆ วันเลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ควรทำอย่างไร เพื่อดึงความเชื่อมั่นของผู้ซื้อกลับคืนมาและทำให้มีคนรู้จักโครงการใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวงกว้าง คำตอบคือการทำการตลาดอสังหา (Real Estate Marketing) นั่นเอง ADCHARIYA พร้อมแชร์ 10 กลยุทธ์การตลาดอสังหาริมทรัพย์แล้ว ถ้าคุณพร้อมก็ไปลุยกันได้เลย (อัปเดตล่าสุด 2025)
1. Business Website
เว็บไซต์ธุรกิจคือจุดเริ่มต้นสำคัญสำหรับการตลาดอสังหา เพราะเป็นเหมือนช่องทางหลักที่ธุรกิจสามารถนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโครงการได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นราคา แผนผัง ทำเลที่ตั้ง หรือข้อมูลอื่น ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้ซื้อก็ตาม นอกจากจะช่วยให้ผู้ซื้อเห็นภาพรวมและรายละเอียดโครงการได้อย่างครบถ้วนแบบตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว เว็บไซต์ยังเป็นพื้นที่ที่คุณเป็นเจ้าของแบบ 100% โดยสามารถใช้ในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและสร้างความน่าเชื่อถือได้ ทั้งนี้ แนะนำให้ออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานสะดวก มาพร้อมภาพโครงการแบบครบทุกมุม อย่าลืมแบบฟอร์มสำหรับการลงทะเบียนเพื่อเข้าชมโครงการและช่องทางในการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมด้วย
2. SEO (Search Engine Optimization)
SEO (Search Engine Optimization) คือกลยุทธ์การตลาดอสังหาที่มักจะมาควบคู่กับเว็บไซต์ธุรกิจ เมื่อคุณมีเว็บไซต์แล้ว คุณควรทำ SEO ร่วมด้วย เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงบน Google และทำให้กลุ่มเป้าหมายมองเห็นเว็บไซต์ได้ง่าย ๆ เมื่อพวกเขาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ขาย เช่า หรือหาข้อมูลทั่ว ๆ ไปก็ตาม เนื่องจากการทำ SEO คือการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์ Search Engine อย่าง Google นั่นเอง
ข้อดีของการทำ SEO คือคุณจะได้รับ Web Traffic และ Conversion แบบ Organic (ไม่ต้องเสียเงินยิงโฆษณา) เห็นผลในระยะยาว แต่ข้อเสียคือใช้เวลานาน 3-6 เดือน เว็บไซต์ถึงจะติดหน้าแรก (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับคุณภาพและอายุของโดเมนด้วย) อย่างไรก็ตามหากคุณทำ SEO เองไม่เป็น แนะนำให้จ้างบริการรับทำ SEO กับดิจิทัลเอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาแล้วจะเป็นการดีที่สุด
3. Content Marketing
คอนเทนต์คือหัวใจสำคัญของการทำการตลาดออนไลน์ เพราะไม่ว่าคุณจะใช้กลยุทธ์การตลาดอะไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกลงไปแล้วก็ต้องมีคอนเทนต์เป็นกลาง ในการสื่อสารระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอยู่เสมอ สำหรับการทำ Content Marketing ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่บทความ SEO ให้ความรู้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยอย่างละเอียด, โพสต์แนะนำโครงการให้เป็นที่รู้จักบน Social Media, โปรโมชั่นการจับจองโครงการในช่วงแรก หรือจะเป็นคลิปวิดีโอสั้นรีวิวโครงการบน TikTok ก็สามารถทำได้เช่นกัน คอนเทนต์เหล่านี้จะทำให้ผู้ซื้อรู้จักและเห็นภาพโครงการอย่างชัดเจน จนนำไปสู่การตัดสินใจซื้ออย่างชาญฉลาด
4. Lead Generation
Lead Generation คือการเก็บข้อมูลลูกค้าที่สนใจอสังหาริมทรัพย์จริง ๆ เพื่อติดต่อกลับและเพิ่มโอกาสปิดการขาย ข้อมูลเหล่านี้เราเรียกว่า “Lead” โดยเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ เพราะจำนวน Lead ที่มากแต่ไม่มีความสนใจจริงจะทำให้ทีมขายเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ สำหรับการตลาดอสังหา เราสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้หลายวิธี เช่น สร้างฟอร์มลงทะเบียนบนเว็บไซต์ ทำ Landing Page พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ หรือจัดให้มีการเข้าชมโครงการฟรี ซึ่งหลังจากที่ได้ข้อมูลของ Lead มาแล้ว ต้องติดต่อกลับอย่างรวดเร็ว เพราะลูกค้าอสังหามักตัดสินใจภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังแสดงความสนใจ ดังนั้น คุณอาจจะต้องใช้ระบบ CRM ในการจัดการข้อมูลลูกค้าร่วมด้วย
5. Email Marketing
Email Marketing คือการทำการตลาดผ่านอีเมล กลยุทธ์นี้ยังคงมีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ เพราะเจ้าของธุรกิจสามารถส่งข้อมูลไปยังกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง อาจจะเป็นลูกค้าเก่าของโครงการที่ผ่านมา ลูกค้าใหม่ที่กรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนมา หรืออีเมลจากลูกค้าที่ได้มาจากการออกงานอีเวนต์ เป็นต้น โดยเนื้อหาภายในอีเมลสามารถเป็นได้ทั้งข้อมูลโครงการ แบบแปลน ราคา หรือโปรโมชั่นพิเศษก็ได้
6. Facebook Ads
Facebook Ads เป็นการยิงโฆษณาผ่าน Facebook หรือ Meta เพื่อส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายที่อยู่บนแพลตฟอร์มอย่างแนบเนียน โดยคุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด ลงลึกได้ไปถึงอายุ รายได้ ความสนใจ และพื้นที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังมีรูปแบบของโฆษณาย่อยให้เลือกหลายรูปแบบ และสามารถทำ Retargeting กับคนที่เคยเข้าชมหน้าโครงการแต่ยังไม่ติดต่อสอบถามได้อีกด้วย
7. Google Ads
Google Ads คือการลงโฆษณาบน Google ที่ช่วยให้โครงการของคุณแสดงอยู่หน้าแรกทันทีเมื่อคนค้นหาเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อย่างคำว่า “คอนโดใกล้รถไฟฟ้า” หรือ “บ้านเดี่ยวราคาถูก” จุดเด่นของ Google Ads คือเข้าถึงคนที่กำลังสนใจซื้อจริง ๆ เพราะพวกเขากำลังค้นหาสิ่งที่คุณขายอยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสขายได้สูงกว่าโฆษณาช่องทางอื่น Google Ads ยังช่วยให้คุณกำหนดพื้นที่แสดงโฆษณาได้ด้วย เช่น แสดงเฉพาะคนในรัศมี 10 กิโลเมตรรอบโครงการ ซึ่งตรงกับความต้องการของธุรกิจอสังหาที่มักอยากเน้นเฉพาะลูกค้าในพื้นที่ใกล้เคียง
8. YouTube Ads
YouTube Ads มีรูปแบบโฆษณาให้เลือกมากมาย ตั้งแต่โฆษณาเต็มรูปแบบก่อนชมวิดีโออื่น โฆษณาที่แทรกในผลการค้นหา หรือคลิปสั้นเพียง 6 วินาที แต่ละรูปแบบมีข้อดีแตกต่างกัน โฆษณาก่อนวิดีโอ (In-stream Ads) ช่วยให้คุณมีเวลาเล่าเรื่องโครงการได้เต็มที่ ส่วนโฆษณาในผลการค้นหา (Discovery Ads) จะปรากฏเมื่อลูกค้าค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง ทำให้เข้าถึงลูกค้าที่สนใจจริง ๆ ขณะที่คลิปสั้น 6 วินาที (Bumper Ads) เหมาะสำหรับสร้างการจดจำแบรนด์หรือโลโก้โครงการ คุณสามารถกำหนดงบประมาณและกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด ทำให้การตลาดอสังหาของคุณตรงกลุ่มและคุ้มค่า
9. Social Media Marketing
Social Media Marketing จะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงคนหลาย ๆ กลุ่มได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ Facebook ที่ยังคงเป็นช่องทางหลักที่ผู้คนใช้ในการติดตามข่าวสารหรือดูความเคลื่อนไหวของแบรนด์ต่าง ๆ อยู่ อาจจะเป็นการโพสต์คอนเทนต์เกี่ยวกับเคล็ดลับการตกแต่งบ้าน วิธีดูแลคอนโด ทริคการซื้อบ้านหลังแรก แชร์รีวิวจากลูกค้าจริง หรือจะจัดกิจกรรมพิเศษผ่านแฟนเพจและบัญชีของคุณก็ได้เช่นเดียวกัน
10. Influencer Marketing
อีกหนึ่งกลยุทธ์การตลาดอสังหาที่อยากแนะนำให้ทำคือ Influencer Marketing ซึ่งจะเป็นการใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หรือที่อยู่อาศัยเป็นทุนเดิมอยู่มา แล้วโปรโมตโครงการของคุณ หรืออาจจะเป็นอินฟลูเอนเซอร์สายไลฟ์สไตล์ที่มีกลุ่มผู้ติดตามตรงกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคุณก็ได้เช่นกัน สำหรับช่องทางที่แนะนำจะเป็น YouTube (วิดีโอยาว) และ TikTok (วิดีโอสั้น)
สรุป

Leave a Reply